คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวเลิศ โสภณวัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 98 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยเจตนาจากความหึงหวง พยานแวดล้อมยืนยันการกระทำผิด
ในห้องเกิดเหตุมีจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียง 2 คนและก่อนที่ผู้ตายจะถูกกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ความตายนั้น จำเลยกับผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกันเนื่องจากผู้ตายไปติดพันผู้หญิงคนใหม่ ทำให้จำเลยกลุ้มใจและหึงหวงผู้ตาย หลังจากผู้ตายถูกกระสุนปืนแล้วจำเลยพยายามฆ่าตัวตายและให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน ในเวลาต่อมาว่า จำเลยคิดจะฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้ตาย จึงใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะผู้ตายในขณะที่ผู้ตายนอนหลับ อยู่บนเตียง ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น เหตุการณ์ แต่พยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวมีความชัดเจนรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุผู้เสียหายเป็นสำคัญ: การเปลี่ยนแปลงอายุตามคำเบิกความมารดาทำให้ข้อหาข่มขืนไม่成立
แม้ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายเกิดวันที่ 17ตุลาคม 2521 ตามสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้าน แต่นาง ท.มารดาผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าขณะที่ผู้เสียหายเกิดนั้นตนยังไม่ได้ไปแจ้งเกิดในทันทีแต่ไปแจ้งเกิดเมื่อผู้เสียหายมีอายุ 9 เดือน วันเดือนปีเกิดที่ระบุในสูติบัตรเป็นวันที่ไปแจ้งเกิดผู้เสียหาย มิใช่วันเกิดที่แท้จริง เมื่อวันเกิดของผู้เสียหาย ไม่มีใครทราบได้ดีกว่ามารดาผู้เสียหายเพราะเป็นผู้ อุ้มท้องและคลอดผู้เสียหายเอง ย่อมต้องจดจำวันได้อย่างแม่นยำ คำเบิกความของนาง ท. จึงน่าเชื่อถือขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุตามสูติบัตร 14 ปี 6 เดือน เมื่อรวมอีก 9 เดือนด้วยแล้วขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุที่แท้จริง 15 ปีเศษแล้ว อายุของผู้เสียหายนั้นต้องถือตามความเป็นจริง เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายขณะมีอายุเกินกว่า 15 ปีแล้ว มิใช่ 14 ปีเศษตามฟ้องการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุผู้เสียหายสำคัญต่อการพิจารณาความผิดฐานชำเรา อายุที่แท้จริงต้องพิจารณาจากคำเบิกความของมารดา
แม้ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายเกิดวันที่ 17 ตุลาคม 2521ตามสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้าน แต่นาง ท. มารดาผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะที่ผู้เสียหายเกิดนั้นตนยังไม่ได้ไปแจ้งเกิดในทันทีแต่ไปแจ้งเกิดเมื่อผู้เสียหายมีอายุ 9 เดือน วันเดือนปีเกิดที่ระบุในสูติบัตรเป็นวันที่ไปแจ้งเกิดผู้เสียหาย มิใช่วันเกิดที่แท้จริง เมื่อวันเกิดของผู้เสียหายไม่มีใครทราบได้ดีกว่ามารดาผู้เสียหายเพราะเป็นนนผู้อุ้มท้องและคลอดผู้เสียหายเองย่อมต้องจดจำวันได้อย่างแม่นยำ คำเบิกความของนาง ท. จึงน่าเชื่อถือ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุตามสูติบัตร 14 ปี 6 เดือน เมื่อรวมอีก 9 เดือนด้วยแล้วขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุที่แท้จริง 15 ปีเศษแล้ว อายุของผู้เสียหายนั้นต้องถือตามความเป็นจริง เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายขณะมีอายุเกินกว่า 15 ปีแล้วมิใช่ 14 ปีเศษตามฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาลงโทษกักขังแทนจำคุก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี และในกรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคำอนุญาตของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นจึงไม่มีผลทำให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กลับคำพิพากษา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ตรี และในกรณีนี้ ป.วิ.อ.มาตรา 221 ไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คำอนุญาตของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นจึงไม่มีผลทำให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในรถเช่าซื้อ & การไม่รู้เห็นเป็นใจต่อความผิด: สิทธิขอคืนของกลาง
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของผู้ร้อง หลังจากผู้ร้องให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปแล้ว ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองใช้สอยรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของผู้เช่าซื้อจะเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดเมื่อใด ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของจำเลย จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด และที่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหลังจากทราบว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด จะถือว่าผู้ร้องทำไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง การยื่นคำร้องขอคืนของกลางก็เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเอง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในรถเช่าซื้อและการไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด: สิทธิขอคืนของกลาง
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของผู้ร้องหลังจากผู้ร้องให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปแล้วผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองใช้สอยรถจักรยานยนต์ดังกล่าวผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของผู้เช่าซื้อจะเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดเมื่อใดทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของจำเลย จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด และที่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เช่าซื้อหลังจากทราบว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด จะถือว่าผู้ร้องทำไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริตเมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องการยื่นคำร้องขอคืนของกลางก็เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองดังนี้ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอคืนของกลางของผู้ให้เช่าซื้อที่ไม่รู้เห็นการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของผู้ร้อง หลังจากผู้ร้องให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปแล้ว ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองใช้สอยรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของผู้เช่าซื้อจะเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดเมื่อใด ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของจำเลย จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด และที่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหลังจากทราบว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด จะถือว่าผู้ร้องทำไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง การยื่นคำร้องขอคืนของกลางก็เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเอง ดังนี้ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้องได้
of 10