คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวเลิศ โสภณวัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 98 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานจากคำรับสารภาพและปริมาณยาเสพติด
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพ และคดีนี้มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งแต่จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า "การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณ เป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย" จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 1 จำนวน 50 เม็ด น้ำหนักรวม 4.12 กรัม จำเลย จึงน่าจะมีความผิดเพียงฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นได้ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ในปริมาณ ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัม ขึ้นไป เป็นปริมาณที่ มาก จนกระทั่งกฎหมายเห็นว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองในปริมาณดังกล่าวผู้กระทำ น่าจะมีเจตนามิใช่เพื่อการใช้อย่างปกติทั่วไปคือเพื่อเสพ แต่น่าจะมีเจตนาพิเศษคือเพื่อจำหน่าย กฎหมายจึงสันนิษฐาน โดยให้ถือว่าการกระทำในปริมาณดังกล่าวเป็นการกระทำ โดยมีเจตนาเพื่อจำหน่าย แม้จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพียง 4.12 กรัมทั้งมิได้คำนวณเป็นปริมาณสารบริสุทธิ์ จะไม่เข้าข้อสันนิษฐานของบทกฎหมายที่ว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายก็ตามแต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเพราะจำเลย มีเมทแอมเฟตามีนมากถึง 50 เม็ด และมีพฤติการณ์ว่าน่าจะมีไว้เพื่อจำหน่าย ในชั้นสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมว่ามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยให้การรับสารภาพ และในชั้นพิจารณา ของศาลจำเลยก็ให้การรับสารภาพเช่นเดิมอีก เมื่อศาลชั้นต้น สืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วเชื่อว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงจึงได้ลงโทษตามพยานหลักฐานที่พิจารณาได้ความเช่นนี้ศาลล่างทั้งสองหาได้ลงโทษโดยนำข้อสันนิษฐานของกฎหมายมาปรับใช้ไม่ ดังนี้ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน: พยานเอกสารในสำนวนการสอบสวนมีน้ำหนักกว่าพยานบุคคลที่ขัดแย้งกันในชั้นศาล
คำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองนายพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาของศาลมีพิรุธขัดกับเหตุผลไม่น่าเชื่อถือ ต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้จากบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาจับกุมและบันทึกคำให้การของพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนซึ่งกอปร ด้วยเหตุผลปราศจากพิรุธสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจพยานโจทก์ทำบันทึกแจ้งข้อหาจับกุมและให้การ ต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกันกับวันเกิดเหตุ ย่อมไม่ทัน มีเวลาไตร่ตรองหรือได้รับการติดต่อให้บิดเบือนความจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ใด และไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าพยาน ดังกล่าวจะให้การกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกแจ้งข้อหาจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวน เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227บัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงซึ่งพยานหลักฐานทั้งปวงที่ศาลจะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักนี้ย่อมได้แก่พยานวัตถุพยานบุคคล รวมทั้งพยานเอกสาร ที่โจทก์อ้างและ สืบเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิด ที่จำเลยอ้างและสืบเพื่อพิสูจน์ ว่าจำเลยบริสุทธิ์ รวมทั้งสำนวนการสอบสวนที่ศาลเรียกมา เพื่อประกอบการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดบังคับคดี: ชอบด้วยกฎหมายแม้มีผู้ประมูลรายเดียว และเจ้าพนักงานบังคับคดีมีดุลพินิจอนุมัติราคา
การขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดีกฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีผู้เข้าแข่งขันในการประมูลราคาเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสียรวมทั้ง จำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ทราบโดยชอบแล้ว แม้จะมีผู้เข้าประมูล สู้ราคาเพียงรายเดียว เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมดำเนินการ ขายทอดตลาดต่อไปได้ หาจำต้องรอผู้เข้าประมูลราคา รายอื่นเข้ามาแข่งขันก่อนไม่ เมื่อการขายทอดตลาดในครั้งที่พิพาทมีผู้แทนโจทก์เข้าประมูลสู้ราคาแล้ว การที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปจึงชอบแล้ว อีกทั้งไม่จำต้องเรียกขานชื่อจำเลยก่อนการขายทอดตลาด เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ทราบด้วยตนเอง การอนุมัติให้ขายทอดตลาดโดยวิธีเคาะไม้เป็น ดุลพินิจของเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เห็นว่าผู้ประมูลให้ราคาที่สมควรแล้วก็มีอำนาจที่จะอนุมัติ ให้ขายโดยวิธีเคาะไม่ได้ โดยไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของจำเลย ผู้ถูกยึดทรัพย์ก่อน การขายทอดตลาดในครั้งแรก จำเลยคัดค้านเจ้าพนักงานบังคับคดีก็รับฟัง ทั้งยังได้โทรศัพท์ปรึกษา ตัวผู้บังคับบัญชา และขอให้ผู้แทนโจทก์ประมูลราคาเพิ่มขึ้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ามีผู้ประมูลราคาต่ำไป จึงไม่อนุมัติให้ขายมาครั้งหนึ่งแล้วการขายในครั้งพิพาทเป็น การขายครั้งที่สอง เมื่อผู้แทนโจทก์ประมูลราคาเพิ่มขึ้น และเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าเป็นราคาที่สมควรแล้ว ย่อมมีอำนาจอนุมัติให้ขายโดยวิธีเคาะไม้ได้ หาจำต้องฟัง คำคัดค้านของจำเลยตลอดไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดยไม่สุจริตขายในราคาต่ำเกินสมควรย่อมไม่เป็นเหตุให้การขายทอดตลาดเสียไป และไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดบังคับคดี: การมีผู้ประมูลเพียงรายเดียวและการใช้อำนาจดุลพินิจของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นกฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีผู้เข้าแข่งขันในการประมูลราคาเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสียรวมทั้งจำเลยที่ 1 เจ้าของทรัพย์ทราบโดยชอบแล้วแม้จะมีผู้เข้าประมูลสู้ราคาเพียงรายเดียว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ดำเนินการขายทอดตลาดไปได้ และในการ ขายทอดตลาดครั้งนี้มีผู้แทนโจทก์เข้าประมูลสู้ราคาแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปจึงชอบ ทั้งไม่จำต้องเรียกขานชื่อจำเลยที่ 1 ก่อนการขายทอดตลาด เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องแจ้งให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีทราบด้วยตนเอง การอนุมัติให้ขายทอดตลาดโดยวิธีเคาะไม้เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าผู้ประมูลให้ราคาที่สมควรแล้ว ก็มีอำนาจที่จะอนุมัติให้ขายทอดตลาดในครั้งแรก เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ามีผู้ประมูลราคาต่ำไป จึงไม่อนุมัติให้ขายและขอให้ผู้แทนโจทก์ ประมูลราคาเพิ่มขึ้น เมื่อผู้แทนโจทก์ประมูลราคาเพิ่มขึ้นแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าเป็นราคาที่สมควรแล้ว ก็มีอำนาจ อนุมัติให้ขายโดยวิธีเคาะไม้ได้หาจำต้องฟังคำคัดค้านของ จำเลยที่ 1 ตลอดไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดยไม่สุจริตขายในราคาต่ำ เกินสมควรแล้วก็ไม่เป็นเหตุให้การขายทอดตลาดเสียไปและไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในครั้งนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดบังคับคดี: เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจอนุมัติการขายแม้มีผู้ประมูลรายเดียว หากราคาเป็นธรรม
ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดี กฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีผู้เข้าแข่งขันในการประมูลราคา เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศให้ผู้มีส่วนได้เสียรวมทั้งจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ ทราบโดยชอบแล้ว แม้จะมีผู้เข้าประมูลสู้ราคาเพียงรายเดียว เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปได้ หาจำต้องรอผู้เข้าประมูลราคารายอื่นเข้ามาแข่งขันก่อนไม่ เมื่อในการขายทอดตลาดในครั้งที่พิพาท มีผู้แทนโจทก์เข้าประมูลสู้ราคาแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปจึงชอบแล้ว อีกทั้งไม่จำต้องเรียกขานชื่อจำเลย ก่อนการขายทอดตลาดเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลย ที่จะต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบด้วยตนเอง
การอนุมัติให้ขายทอดตลาดโดยวิธีเคาะไม้เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าผู้ประมูลให้ราคาที่สมควรแล้ว ก็มีอำนาจที่จะอนุมัติให้ขายโดยวิธีเคาะไม้ได้ โดยไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์
การขายทอดตลาดในครั้งแรก จำเลยคัดค้าน เจ้าพนักงานบังคับคดีก็รับฟัง ทั้งยังได้โทรศัพท์ปรึกษาผู้บังคับบัญชา และขอให้ผู้แทนโจทก์ประมูลราคาเพิ่มขึ้นเมี่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ามีผู้ประมูลราคาต่ำไป จึงไม่อนุมัติให้ขายมาครั้งหนึ่งแล้วการขายในครั้งพิพาทเป็นการขายครั้งที่สอง เมื่อผู้แทนโจทก์ประมูลราคาเพิ่มขึ้นแล้วและเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าเป็นราคาที่สมควรแล้ว ก็มีอำนาจอนุมัติให้ขายโดยวิธีเคาะไม้ได้ หาจำต้องฟังคำคัดค้านของจำเลย ตลอดไปไม่ ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดยไม่สุจริตขายในราคาต่ำเกินสมควรแล้วย่อมไม่เป็นเหตุให้การขายทอดตลาดเสียไป และไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องภาษีมูลค่าเพิ่มหลังเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และการบังคับใช้หนังสือซ้อมความเข้าใจของกรมสรรพากร
จำเลยกำหนดให้โจทก์กรอกรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้ง ค่าภาษีอากรไว้ในใบเสนอราคาเมื่อปรากฏว่าขณะโจทก์ ยื่นต่อจำเลย ภาษีที่โจทก์ต้องเสียคือภาษีการค้า ดังนั้น ภาษีที่โจทก์ระบุไว้จึงเป็นภาษีการค้า ครั้นภายหลังมีการ ตรา พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30)ฯมาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 โดยให้ยกเลิก ภาษีการค้าและให้ใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแทน แม้รัฐบาลได้ตรา พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วย การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 249) พ.ศ. 2535 ออกมาให้สิทธิโจทก์ที่ยื่นใบเสนอราคาให้บริการกับกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2535 มีสิทธิที่จะเลือกเสียภาษีการค้าตามกฎหมายเดิมก็ได้ แต่ก็มิได้ห้ามมิให้โจทก์เลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉะนั้นเมื่อ โจทก์เลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเก็บ ภาษีขายจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์ความไม่สมบูรณ์ของสัญญากู้เงิน ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญา
สัญญากู้มีข้อความชัดเจนว่า จำเลยทั้งสามกู้เงินไปจาก โจทก์รวม 100,000 บาท และรับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันที่ 7 พฤษภาคม 2536 จำเลยทั้งสามนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าความจริงทำสัญญากู้กันวันที่ 8 พฤษภาคม 2536 โดยจำเลยที่ 1เป็นคนกู้เงินโจทก์คนเดียวจำนวน 40,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นเพียงผู้ค้ำประกันมิใช่ผู้กู้เป็นการนำสืบถึงความ ไม่บริบูรณ์ของสัญญากู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน ตามที่ระบุในสัญญากู้ เพราะสัญญากู้เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง จะบริบูรณ์ต่อเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสองจึงหาใช่การนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญากู้เงินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ไม่ แต่เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ แห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา: โจทก์จำกัดการลงโทษเฉพาะความผิดตามที่บรรยายฟ้อง แม้มีหลักฐานการกระทำผิดอื่น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อ วันที่ 7 กันยายน 2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อหนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้ช. ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลย ได้ในคดีอื่น แสดงว่า โจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537เท่านั้น เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยในวันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา การจำกัดบทฟ้อง และการพิจารณาเฉพาะการกระทำที่ถูกกล่าวหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อ หนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้ ช. ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในคดีอื่น แสดงว่า โจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน2537 เท่านั้น
เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยในวันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคแรก และไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักล้างสัญญาจะซื้อขายด้วยพยานบุคคล และการซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตของผู้รับโอน
การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินเป็นสัญญาประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายนั้น เป็นการนำสืบหักล้างว่าสัญญาจะซื้อขายไม่ถูกต้องและไม่มี ผลใช้บังคับตามกฎหมาย ไม่ใช่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสุดท้าย จำเลยร่วมรับโอนที่ดินพิพาทมาจากจำเลยหลังจากจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้แล้วและช.ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทไปยังจำเลยร่วมก่อนแล้ว การที่จำเลยร่วมรู้ถึงข้อความจริงอันเป็นทาง ให้โจทก์ต้องเสียเปรียบก่อนรับโอนจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำ โดยสุจริต
of 10