พบผลลัพธ์ทั้งหมด 326 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์สัญญาณโทรศัพท์: เข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 334 ไม่ผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (10) วรรคสาม จำเลยฎีกาฝ่ายเดียว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วว่าจำเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้จริงคำว่า "โทรศัพท์" สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอธิบายว่า โทรศัพท์เป็นวิธีแปลงเสียงพูดให้เป็นกระแสไฟฟ้าแล้วส่งกระแสไฟฟ้านั้นไปในสายลวดไปเข้าเครื่องรับปลายทางที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้กลับเป็นเสียงพูดอีกครั้งหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดเคลื่อนที่ไปตามสายลวดตัวนำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การที่จำเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่ในความครอบครองขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2541)
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วว่าจำเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้จริงคำว่า "โทรศัพท์" สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอธิบายว่า โทรศัพท์เป็นวิธีแปลงเสียงพูดให้เป็นกระแสไฟฟ้าแล้วส่งกระแสไฟฟ้านั้นไปในสายลวดไปเข้าเครื่องรับปลายทางที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้กลับเป็นเสียงพูดอีกครั้งหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดเคลื่อนที่ไปตามสายลวดตัวนำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การที่จำเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่ในความครอบครองขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2541)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์สัญญาณโทรศัพท์: ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(10) วรรคสามปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 สัญญาณโทรศัพท์เป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดเคลื่อนที่ไปตามสายลวดตัวนำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งจำเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่ ในความครอบครองขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักสัญญาณโทรศัพท์เข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์ การพิจารณาโทษและการรอการลงโทษ
คำว่า "โทรศัพท์" สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนอธิบายว่าโทรศัพท์เป็นวิธีแปลงเสียงพูดให้เป็นกระแสไฟฟ้าแล้วส่งกระแสไฟฟ้าให้กลับเป็นเสียงพูดอีกครั้งหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากเสียงพูดเคลื่อนที่ไปตามสายลวดตัวนำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การที่จำเลย ลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์แห่งประเทศไทยไปใช้ เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกับการลักกระแสไฟฟ้า จำเลยเป็นนักศึกษา อายุยังน้อย ประกอบกับได้ บรรเทาผลร้ายโดยชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วและเพิ่ง กระทำความผิดครั้งนี้เป็นครั้งแรกจึงเห็นควรให้รอการลงโทษ จำเลยไว้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเจ้าพนักงาน: การยิงอาวุธปืนใส่เจ้าพนักงานขณะหลบหนีถือเป็นความพยายามฆ่า
ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ สิบตำรวจตรี ส.กับพวกแสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลย กับพวกเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายแต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและวิ่งหนีไปทันที อันส่อ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัย เมื่อสิบตำรวจตรี ส. กับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาแล้วใช้อาวุธปืนยิ่งใส่ สิบตำรวจตรี ส. กับพวก แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทาง เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตาม จำเลยไป จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่า กระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูกเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่ง ที่วิ่งตามมา เจ้าพนักงานดังกล่าวย่อมถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และจำเลยได้ลงมือ กระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจาก กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเจ้าพนักงานขณะหลบหนี: พยายามฆ่า แม้ไม่สำเร็จ
ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ จำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัย สิบตำรวจตรี ส.กับพวกได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลยกับพวกเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้าย แต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและวิ่งหนีไปทันที ขณะสิบตำรวจตรี ส.กับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาแล้ว จำเลยใช้อาวุธปืนยิงมาทางสิบตำรวจตรี ส. แม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไป จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูกเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งตามมา เจ้าพนักงานดังกล่าวย่อมถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยได้ลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเจ้าพนักงาน: การยิงอาวุธปืนใส่เจ้าพนักงานขณะหลบหนีถือเป็นเจตนาฆ่า แม้กระสุนไม่ถูก
ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ จำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัย สิบตำรวจตรี ส.กับพวกได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลยกับพวกเนื่องจากสงสัยว่า จำเลยกับพวกเป็นคนร้าย แต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและ วิ่งหนีไปทันที ขณะสิบตำรวจตรี ส.กับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาแล้ว จำเลยใช้อาวุธปืนยิงมาทางสิบตำรวจตรี ส. แม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แต่การที่ จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไป จำเลยย่อมเล็งเห็น ผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูก เจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งตามมา เจ้าพนักงานดังกล่าว ย่อมถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำ โดยเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยได้ลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยานในคดีบุกรุก การพิจารณาจากความสัมพันธ์ของพยานและข้อเท็จจริงจากการรังวัดที่ดิน
พยานบุคคลของโจทก์นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ดินแล้วล้วน เป็นญาติกับโจทก์ทั้งสิ้นส่วนพยานจำเลยปากฉ.ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติกับจำเลย ทั้งทนายโจทก์มิได้ถามค้าน ว่าเป็นญาติกับจำเลย คำเบิกความของฉ.จึงมีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ปากต่าง ๆ ที่เป็นญาติโจทก์ โจทก์เป็นชายอายุ 34 ปี จำเลยเป็นหญิงอายุ 29 ปีการที่จำเลยปลูกต้นไม้รุกล้ำที่โจทก์โดยโจทก์มิได้ห้ามปรามเพราะไม่รู้กฎหมายนั้นเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย และเมื่อทำการรังวัดที่ดินของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้นจากที่ ระบุในโฉนดอีก 77 ตารางวาจึงเป็นข้อเท็จจริงที่แจ้งชัดว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีอาญา: จำเลยปฏิเสธฟ้องมีผลเท่ากับการยกข้อต่อสู้ และประเด็นอันตรายสาหัส
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำเลยให้การปฏิเสธแม้ในทางนำสืบของจำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ว่าไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายสาหัส แต่คำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ของจำเลยมีผลเท่ากับจำเลยยกขึ้นต่อสู้ว่าไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายสาหัสด้วยแล้ว ถือว่าจำเลยได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ จึงเป็นข้อที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากความเท็จในการฟ้องเดิม ศาลไม่รับ เพราะเป็นคนละเรื่อง
จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ทั้งสองจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้ขนส่งสินค้ารายพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนำความเท็จมาฟ้องจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดค่าจ้างทนายความ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในศาลอีก จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างใช้สิทธิทางศาลอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาลฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์ทั้งสองมาเป็นข้อกล่าวอ้างซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 26
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากความเท็จในการฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา เหตุไม่เกี่ยวเนื่องกับคำฟ้อง
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้าง ใช้สิทธิทางศาลอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองกระทำละเมิด ต่อจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาล ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็น ฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์ทั้งสองมาเป็น ข้อกล่าวอ้างซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของ จำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะ รวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26