พบผลลัพธ์ทั้งหมด 354 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พฤติการณ์เพียงพอรับฟังความผิด
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ลงจากรถไปคนเดียวและเข้าไปคุยกับสายลับในบ้านเป็นเวลานานพอสมควร แล้วเดินออกมาเอาห่อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ที่นั่งรออยู่ในรถ จากนั้นเดินเข้าไปหาสายลับในบ้านเพียงคนเดียวโดยจำเลยอื่นมิได้เข้าไปด้วย เช่นนี้ก็เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยอื่นกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าตนไม่รู้ว่าภายในห่อเป็นเมทแอมเฟตามีนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำร้ายแม่ยายด้วยไฟฟ้า แม้แรงดันต่ำ ศาลไม่รอการลงโทษ เหตุจำเลยขาดสำนึกผิด
การที่จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าทำอันตรายแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่ยายของจำเลยและมีอายุถึง 56 ปี จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแม้จะเป็นกระแสไฟฟ้าเพียง 12 โวลต์ ก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง หลังเกิดเหตุจำเลยไม่ได้แสดงความรับผิดชอบหรือรู้สำนึกในการกระทำความผิดด้วยการดูแลรักษาพยาบาลหรือชดใช้ค่าเสียหายหรือขอขมาต่อผู้เสียหายแต่ประการใดจนเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้นำบันทึกของผู้เสียหายที่ระบุว่าไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยมาแสดง การกระทำดังกล่าวของจำเลยมิได้ทำด้วยความรู้สำนึกในการกระทำความผิด แต่ทำเพื่อประโยชน์ในทางคดีของตนเท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกแทนเงิน: หนี้ระงับสิ้นเมื่อชำระตามตกลง
จำเลยซื้อสังกะสีจากโจทก์จำนวน 5 หาบ ตกลงผ่อนชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกปีละ 100 ถัง เป็นเวลา 5 ปี โดยจำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์และจำเลยได้ชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว อันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตามที่ตกลงกันไว้ หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: การกระทำผิดตามมาตรา 296 แม้ไม่มีเหตุจับกุม
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันพลตำรวจ ก. ซึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจและออกตรวจท้องที่ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุสามีภริยาทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าการใช้อาวุธมีดฟันทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. ดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด หรือไม่เกี่ยวข้องกับการที่พลตำรวจ ก. กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 กับพวก ก็เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายร่างกายพลตำรวจ ก. เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ เพราะการที่พลตำรวจ ก. กับพวกกำลังระงับเหตุทะเลาะวิวาทกันดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง, สมคบกันกระทำผิด, พยานหลักฐานแน่นหนา, ศาลยืนตามอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธจี้ขู่บังคับผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์ไปจากบริเวณที่จำเลยทั้งสองพบผู้เสียหายครั้งแรกไปจนถึงกระท่อมนาที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยพวกจำเลยยืนคุมอยู่ การกระทำชำเราในลักษณะเช่นนี้ จำเลยทั้งสองและพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกันและอยู่คุมให้พวกของตนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ เป็นการสมคบกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9279/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: แม้มีทางออกเดิม แต่หากปัจจุบันใช้ไม่ได้ และทางพิพาทสะดวกเหมาะสม ย่อมบังคับให้เปิดทางจำเป็นได้
แม้ที่ดินของโจทก์ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6885 ของ ล. และ ล. ได้คงที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้ใช้เป็นทางเดินซึ่งโจทก์ก็สามารถผ่านออกสู่ทางเดินเลียบคลองขวางอันเป็นทางที่จะผ่านออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ได้ แต่เมื่อปัจจุบันทางเดินเลียบคลองขวางไม่มีสภาพเป็นทางที่จะออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ได้อีกต่อไป อีกทั้งทางพิพาทซึ่งอยู่บนที่ดินของจำเลย จำเลยก็สร้างกำแพงคอนกรีตปิดกั้นเสีย จึงต้องถือว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้เคยยินยอมให้โจทก์และชาวบ้านใช้ทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยออกสู่ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 49/1 แล้วออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ อีกทั้งทางพิพาทดังกล่าวก็มีความสะดวกเหมาะสมซึ่งหากโจทก์ใช้ทางพิพาทดังกล่าวของจำเลยก็จะเกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมที่ดินของโจทก์น้อยที่สุด ฉะนั้นทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่โจทก์ขอผ่านจึงเป็นทางที่สะดวกและเหมาะสมกับทางจำเป็น โจทก์ชอบที่จะขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทบน ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์ใช้เป็นทางออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้เคยยินยอมให้โจทก์และชาวบ้านใช้ทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยออกสู่ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 49/1 แล้วออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ อีกทั้งทางพิพาทดังกล่าวก็มีความสะดวกเหมาะสมซึ่งหากโจทก์ใช้ทางพิพาทดังกล่าวของจำเลยก็จะเกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมที่ดินของโจทก์น้อยที่สุด ฉะนั้นทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่โจทก์ขอผ่านจึงเป็นทางที่สะดวกและเหมาะสมกับทางจำเป็น โจทก์ชอบที่จะขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทบน ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์ใช้เป็นทางออกสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8943/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาอาวุธปืนในเคหสถาน: ไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธในเมือง
การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในขณะกำลังยืนจัดเตรียมผักเพื่อจะขายบริเวณเพิงหน้าบ้านของตน ซึ่งถือว่าเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยจึงไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8943/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธปืนในเคหสถาน: ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน หากเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยและร้านค้า
บ้านเป็นเคหสถานซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและบริเวณเพิงหน้าบ้านเป็นบริเวณของบ้านซึ่งใช้เป็นร้านค้าและที่อยู่อาศัยด้วย จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัยของตนจึงไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8748/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ถูกเพิกถอน แต่การขายที่ดินให้บุคคลภายนอกก่อนมีคำพิพากษาคดีใหม่ ทำให้ไม่ต้องคืนที่ดิน
แม้การบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองที่ได้ดำเนินไปแล้วเป็นอันถูกเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 วรรคแรก เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาในคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ แต่จำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องของโจทก์ให้แก่ ม. และ ป. ไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในสำนวนที่ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่นั้นต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย คดีถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะบังคับให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8208/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินธุรกิจน้ำมันโดยไม่ได้รับอนุญาต และการเก็บรักษาน้ำมันอันตราย มีความผิดแยกจากกัน ต้องลงโทษทุกกรรม
การที่จำเลยดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยจัดตั้งเป็นสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 6 ทวิ, 20 ทวิ ส่วนการที่จำเลยเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดน่ากลัวอันตรายเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มาตรา 6, 14, 48 การกระทำของจำเลยแยกการกระทำออกจากกันได้และมีเจตนาในการกระทำผิดคนละอย่างด้วยทั้งโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อหาการดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยจัดตั้งเป็นสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดน่ากลัวอันตรายเพื่อจำหน่ายไว้คนละข้อกัน การกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดคนละกรรมต่างกันต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ.มาตรา 91
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218วรรคหนึ่ง ในชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานยึดได้ตามฟ้องเป็นเพียงทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์นำชี้ถึงองค์ประกอบของการกระทำผิดมิใช่ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดหรือได้กระทำผิด จึงริบไม่ได้ตาม ป.อ.มาตรา32 และ 33 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกทั้งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและยอมรับว่าทรัพย์ของกลางที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ทรัพย์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ข้อฎีกาจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218วรรคหนึ่ง ในชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานยึดได้ตามฟ้องเป็นเพียงทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์นำชี้ถึงองค์ประกอบของการกระทำผิดมิใช่ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดหรือได้กระทำผิด จึงริบไม่ได้ตาม ป.อ.มาตรา32 และ 33 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกทั้งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและยอมรับว่าทรัพย์ของกลางที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ทรัพย์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ข้อฎีกาจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย