คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรพินท์ เศรษฐมานิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,765 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่า-ภารจำยอม: ศาลเลื่อนพิจารณาจนกว่าคดีภารจำยอมถึงที่สุด จึงจะวินิจฉัยผิดสัญญาเช่าได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า เนื่องจากที่ดินที่เช่าถูกบุคคลภายนอกฟ้องร้องว่าตกอยู่ในภารจำยอม เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับและค่าเสียหายแก่โจทก์ ปัญหาว่าที่ดินที่เช่าตกอยู่ในภารจำยอม จึงเป็นประเด็นโดยตรงซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และศาลชั้นต้นในคดีซึ่งบุคคลภายนอกฟ้องโจทก์และจำเลยได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้รื้อรั้วคอนกรีตกั้นทางเดินที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมออก แต่คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่ถึงที่สุดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันจริง กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่ามีความหมายอยู่ในตัวว่า หากคดีดังกล่าวถึงที่สุดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันก็ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า จึงเป็นกรณีที่ต้องอาศัยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งคำชี้ขาดตัดสินบางข้อที่ศาลนั้นเอง จึงมีเหตุสมควรที่ต้องเลื่อนการพิจารณาต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 39 วรรคหนึ่ง
คำฟ้องสมบูรณ์หรือไม่ ต้องพิจารณาในสาระสำคัญว่าคำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงจะรับฟังได้หรือรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องรับฟังกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฉะนั้นเมื่อคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ยกเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่าและภารจำยอม: ศาลฎีกาชี้ว่าการถูกโต้แย้งสิทธิจากคดีภารจำยอมทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
จำเลยรับรองต่อโจทก์ที่ 1 ผู้เช่าที่ดินว่า ที่ดินที่ให้เช่าไม่มีภาระผูกพัน แต่ต่อมาโจทก์ที่ 1 และจำเลยถูกฟ้องให้เปิดทางภารจำยอม และศาลมีคำสั่งให้รื้อรั้วที่ปิดทางผ่านเข้าออก ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้ที่ดินที่เช่าถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา โจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้อง
สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ที่ 1 เป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาเช่าเพราะที่ดินที่เช่าถูกบุคคลภายนอกฟ้องว่าตกอยู่ในภารจำยอม ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ซึ่งผิดจากคำรับรองของจำเลย ปัญหาที่ว่าที่ดินที่เช่าตกอยู่ในภารจำยอมหรือไม่จึงเป็นประเด็นโดยตรงไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าตามฟ้องหรือไม่ และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีอื่นให้รื้อรั้วกั้นทางเดินออกจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น นับว่าทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาซึ่งยังไม่ถึงที่สุดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า กรณีต้องอาศัยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งคำชี้ขาดตัดสินบางข้อของศาลในคดีดังกล่าวนั้นเอง จึงมีเหตุสมควรที่ต้องเลื่อนการพิจารณาต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 39 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เช่าเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิจากภาระจำยอม และการพิจารณาคดีที่ต้องรอผลคำพิพากษาอื่น
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลย โดยมีคำรับรองของจำเลยว่าที่ดินที่ให้เช่าไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับบุคคลอื่น แต่ภายหลังกลับปรากฏว่าจำเลย และโจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องได้เปิดทางภาระจำยอม ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว โดยให้รื้อรั้วที่โจทก์ที่ 1 ก่อสร้างขึ้นเพื่อเปิดทางผ่านเข้าออก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้ที่ดินที่เช่า ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้อง
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้รื้อรั้วคอนกรีตกั้นทางเดินที่อ้างว่าเป็นภาระจำยอมออกจนกว่า ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินที่เช่าอย่างเต็มที่ แต่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยังไม่ถึงที่สุด เด็ดขาดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันจริง กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีล้มละลายตามกฎหมายเดิม แม้มีการแก้ไขกฎหมายภายหลัง ศาลต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง
การจะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองสมควรล้มละลายหรือไม่ ต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะที่มีการยื่นฟ้องและคดีนั้นยังคงค้างพิจารณาอยู่ในศาล ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542 มาตรา 34 ที่บัญญัติว่า "บรรดาคดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาล? ให้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายซึ่งใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ" เมื่อคดีนี้ยื่นฟ้องก่อนที่ พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้บังคับและได้ความว่าจำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้โจทก์กำหนดจำนวนได้แน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท จึงเข้าองค์ประกอบตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (เดิม) ประกอบกับในการพิจารณาคดีล้มละลายต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 (เดิม) หรือมาตรา 10 (เดิม) ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ยกฟ้อง ฉะนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์นำสืบได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ และจำเลยทั้งสองนำสืบไม่ได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด ลำพังเหตุที่มีการแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวโดยเพิ่มจำนวนหนี้ที่จะฟ้องล้มละลายให้สูงขึ้น ยังไม่พอฟังว่ามีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิจัดการทรัพย์สินก่อนล้มละลายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างไม่ชัดเจน
การที่จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่า พระราชบัญญัติล้มละลายฯที่กำหนดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าไปจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนที่ศาลจะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายอาจจะเป็นการจำกัดสิทธิของจำเลยในการจัดการทรัพย์สินของตนเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 29 วรรคหนึ่งนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวไม่เป็นการโต้แย้งที่ชัดแจ้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและไม่อาจถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งโดยชัดแจ้งว่า พระราชบัญญัติล้มละลายฯ ทุกมาตราให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้และห้ามมิให้ลูกหนี้เข้าจัดการทรัพย์สินของตนขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะต้องรอการพิจารณาพิพากษาไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของจำเลยไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 264

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9740/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์เป็นผลสำเร็จ แม้ยังมิได้จดทะเบียน หากผู้โอนสิทธิแต่ละทอดไม่สุจริต สิทธิผู้ครอบครองไม่ขาดตอน
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้จะยังมิได้จดทะเบียนการได้มา ก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บริษัท ฟ. ผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตได้
หลังจากซื้อที่ดินพิพาทมาแล้ว บริษัท ฟ. ได้โอนขายแก่บริษัท ร. ต่อมาบริษัท ร. โอนขายแก่จำเลย โดยจำเลยกับบริษัท ฟ. และบริษัท ร. เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนล้วนเป็นบุคคลชุดเดียวกัน การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกันเป็นทอด ๆ ตามลำดับดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้รับโอนทางทะเบียนแต่ละทอดรับโอนโดยสุจริต สิทธิของโจทก์ผู้ครอบครองปรปักษ์จึงไม่ขาดตอนและสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยซึ่งมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9609/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายน้ำเยื่อกระดาษ: การกำหนดจุดส่งมอบและหน้าที่ออกใบกำกับภาษี
หนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระเป็นการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในการขายน้ำเยื่อกระดาษผ่านทางท่อที่ลูกหนี้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า โดยมีวิธีการส่งน้ำเยื่อกระดาษผ่านท่อซึ่งมีมิเตอร์วัดปริมาณตลอด 24 ชั่วโมง และส่งมอบแก่ลูกค้ารายเดียว จึงสามารถกำหนดปริมาณได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบกันปริมาณเท่าใดเมื่อใด เทียบเคียงได้กับการขายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่สายการบินซึ่งจะทราบปริมาณการส่งมอบได้ในแต่ละครั้งที่เติมและเจ้าหนี้อนุโลมให้ออกใบกำกับภาษีได้ครั้งเดียวใน 1 วัน แตกต่างจากการขายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งเป็นสินค้าสาธารณูปโภค มีลูกค้าหลายรายและเป็นจำนวนมาก ไม่แน่นอนว่าลูกค้าแต่ละรายจะบริโภคปริมาณมากน้อยเพียงใดในแต่ละวัน จึงไม่สามารถกำหนดจุดส่งมอบได้แน่นอน ลูกหนี้จึงต้องรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าแก่ผู้ซื้อตามประมวลรัษฎากรมาตรา 78 มิใช่กรณีที่ลูกหนี้และลูกค้าไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบเมื่อใดอันจะมีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและออกใบกำกับภาษีให้แก่ลูกค้าเมื่อได้รับชำระราคาสินค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78/3 (1) และข้อ 1 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 189 (พ.ศ.2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในบางกรณี ฉะนั้น เมื่อมีแนวปฏิบัติเป็นการภายในของเจ้าหนี้ที่อนุโลมให้ออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งเดียวใน 1 วัน จึงเป็นธรรมและเหมาะสมแล้วแม้การมีมิเตอร์วัดปริมาณที่ท่อส่งน้ำเยื่อกระดาษและการขายสินค้าให้แก่ลูกค้ารายเดียวจะมิใช่เหตุผลที่จะนำมาพิจารณาว่า สามารถกำหนดจุดส่งมอบได้แน่นอน หรือมิใช่การขายสินค้าในลักษณะเดียวกับกระแสไฟฟ้าหรือน้ำประปา แต่เมื่อนำเหตุทั้งสองมาพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้ความก็สามารถกำหนดจุดส่งมอบและชี้ให้เห็นข้อแตกต่างในเรื่องลักษณะของการขายสินค้าว่าจัดอยู่ในประเภทใดได้แน่นอนชัดเจนยิ่งขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9609/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายน้ำเยื่อกระดาษผ่านท่อ: การกำหนดจุดส่งมอบและหน้าที่ออกใบกำกับภาษี
การขายน้ำเยื่อกระดาษผ่านทางท่อที่ลูกหนี้จำหน่ายให้ลูกค้าโดยมีวิธีการส่งน้ำเยื่อกระดาษผ่านท่อซึ่งมีมิเตอร์วัดปริมาณตลอด24 ชั่วโมง และส่งมอบแก่ลูกค้ารายเดียว จึงสามารถกำหนดปริมาณได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบกันปริมาณเท่าใด เมื่อใด เทียบเคียงได้กับการขายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่สายการบินซึ่งจะทราบปริมาณการส่งมอบได้ในแต่ละครั้งที่เติม และเจ้าหนี้อนุโลมให้ออกใบกำกับภาษีได้ครั้งเดียวใน 1 วัน ตามหนังสือตอบข้อหารือในสำนวน แตกต่างจากการขายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาซึ่งเป็นสินค้าสาธารณูปโภค มีลูกค้าหลายรายและเป็นจำนวนมากไม่แน่นอนว่าลูกค้าแต่ละรายจะบริโภคปริมาณมากน้อยเพียงใดในแต่ละวันจึงไม่สามารถกำหนดจุดส่งมอบได้แน่นอน ลูกหนี้จึงต้องรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าแก่ผู้ซื้อตามประมวลรัษฎากรฯมาตรา 78 มิใช่กรณีที่ลูกหนี้และลูกค้าไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบเมื่อใด อันจะมีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและออกใบกำกับภาษีให้แก่ลูกค้าเมื่อได้รับชำระราคาสินค้าตามมาตรา 78/3(1) และข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 189ฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9514/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาคู่สัญญาสำคัญกว่า: เงินดาวน์ไม่ใช่เงินมัดจำ, เบี้ยปรับสูงเกินควร ศาลลดได้
แม้โจทก์จะได้วางเงินจำนวน 55,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินก็ตาม แต่เงินจำนวนดังกล่าวนี้ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นเงินมัดจำไปเสียทั้งหมด ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของคู่กรณีเป็นสำคัญ เมื่อเจตนาของโจทก์และจำเลยปรากฏชัดแจ้งอยู่ในสัญญาแล้วว่าให้ถือเป็นเงินดาวน์ จึงต้องถือว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์ ส่วนเงินดาวน์ที่โจทก์ผ่อนชำระไปแล้วอีก 10 งวดจำนวน 87,000 บาท นั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เงินมัดจำ เพราะเป็นเงินที่ผ่อนชำระกันหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ผิดสัญญาจำเลยจะริบเงินเหล่านี้โดยอ้างว่าเป็นเงินมัดจำที่อาจริบตามกฎหมายไม่ได้
สัญญาจะซื้อจะขายข้อ 9 ระบุว่าหากโจทก์ซึ่งเป็นผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินตามที่ระบุในสัญญา ให้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและยินยอมให้จำเลยริบเงินที่ชำระไว้แล้วทั้งหมด กับให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันยกเลิกกันทันทีโดยมิต้องบอกกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ผลคือสัญญาเลิกกัน เงินที่โจทก์ส่งมอบแก่จำเลยดังกล่าวเพื่อชำระหนี้บางส่วนย่อมกลับเป็นเงินอันจะต้องใช้คืนเพื่อให้คู่สัญญากลับสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แม้เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ริบโดยไม่ต้องใช้คืนเพื่อกลับสู่ฐานะเดิมข้อตกลงให้ริบดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตามมาตรา 379 และเบี้ยปรับนี้ถ้าสูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจที่จะลดลงให้เหลือเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ ส่วนที่ตกลงกันไว้ในตอนท้ายของสัญญาข้อ 9 อีกว่า หากโจทก์ผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาอีกยอมชำระค่าปรับให้แก่จำเลยผู้จะขายต่างหากเป็นเงินครั้งละ 10,000บาท ก็เป็นเบี้ยปรับเช่นกัน แต่ที่กำหนดไว้ในสัญญาให้เรียกได้อีกนั้นเป็นการซ้ำซ้อน จึงไม่กำหนดเบี้ยปรับให้แก่จำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9286/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิมเพื่อรวมพิจารณา หากเป็นคนละเรื่อง ศาลไม่รับฟ้อง
การฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ เมื่อฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินกู้และบังคับจำนองที่ดินที่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเป็นประกันหนี้เงินกู้ จำเลยปฏิเสธว่าจำนวนหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้องและโจทก์ทั้งสองไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองคดีจึงมีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ทั้งสองจำนวนเท่าใด และโจทก์ทั้งสองมีสิทธิบังคับจำนองหรือไม่ การที่จำเลยที่ 2ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายที่ไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทที่จำนองให้แก่ผู้ซื้อได้นั้น เป็นคนละเรื่องคนละประเด็น แตกต่างจากฟ้องเดิมของโจทก์ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
of 277