คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรพินท์ เศรษฐมานิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,765 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ, ยักยอกทรัพย์, และทำลายเอกสารของธนาคารโดยพนักงาน
จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำนวยการบริการมีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย ตามวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมได้นำเงินมอบให้จำเลยเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมที่ธนาคารผู้เสียหาย รวม 9 ครั้ง เป็นเงิน 487,810 บาท ในการฝากเงินของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมอบเงินฝากให้จำเลย จำเลยจะเป็นผู้เขียนกรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค โดยใช้กระดาษคาร์บอนอัดสำเนาแล้วฉีกต้นฉบับไว้และมอบสำเนาให้โจทก์ร่วมเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ครวม 5 ฉบับ ให้น้อยลงกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝากจริงแล้วจำเลยนำเอกสารที่จำเลยแก้ไขดังกล่าวพร้อมจำนวนเงินตามเอกสารที่แก้ไขใหม่ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งเงินเก็บรักษา การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่แท้จริงเพื่อแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารผู้เสียหายแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมทั้ง 5 ฉบับและการที่จำเลยเขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่รวม 3 ฉบับ ระบุจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรให้น้อยลงกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝากแล้วนำเอกสารที่จำเลยแก้ไขดังกล่าวพร้อมจำนวนเงินตามเอกสารที่ทำขึ้นใหม่ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งเงินเก็บรักษาต่อไป เป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารผู้เสียหายแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมทั้ง 3 ฉบับเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงการปลอมเอกสารธรรมดาเพราะต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คมีข้อความแสดงว่าได้รับเงินเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแก่โจทก์ร่วมที่จะเรียกถอนเงินฝากคืนได้ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ.มาตรา 1 (9)การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตาม ป.อ.มาตรา 265 และฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยทำลายต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค 4 ฉบับ อันเป็นหลักฐานของธนาคารผู้เสียหายซึ่งจำเลยจะต้องนำไปลงบัญชีในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงยอดเงินฝากของโจทก์ร่วม โดยจำเลยไม่มีสิทธิจะทำลายต้นฉบับดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 188
จำเลยได้ยักยอกเงินฝากของโจทก์ร่วมรวม 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 140,000 บาท โดยจำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ครวม 5 ฉบับ ให้จำนวนเงินน้อยลงกว่าความเป็นจริง และจำเลยได้เขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นมาใหม่รวม 3 ฉบับ ระบุจำนวนเงินฝากน้อยกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝาก แล้วจำเลยนำเงินลงบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมตามจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่จำเลยแก้ไขและทำขึ้นใหม่ และการฝากเงินในวันที่เกิดเหตุมีแต่สำเนาชุดฝากเงินสด-เช็คระบุจำนวนเงินฝาก 20,000บาท แต่จำเลยไม่นำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วม การที่จำเลยได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไป 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 140,000 บาท โดยทุจริตจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของธนาคารผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ.มาตรา 354
ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้น ไม่ว่าโจทก์ร่วมจะเป็นผู้เสียหายตามที่จำเลยฎีกาหรือไม่เมื่อไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพนักงานธนาคารยักยอกเงินฝาก แก้ไขบัญชี และทำลายเอกสาร หลักฐานรับฟังหนักแน่น ศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย มีหน้าที่รับฝาก- ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จำเลยรับมอบเงินจากโจทก์ร่วมซึ่งเป็นลูกค้าของผู้เสียหายเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกค้าดังกล่าวแล้ว จำเลยจะเป็นผู้เขียน กรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค และฉีกต้นฉบับ ไว้แล้วมอบสำเนาให้โจทก์ร่วมเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้ แก้ไขจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คให้น้อยกว่าจำนวนเงิน ที่โจทก์ร่วมนำมาฝาก แล้วนำเอกสารที่แก้ไขพร้อมจำนวนเงินตาม เอกสารที่แก้ไขใหม่ ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนส่งเงิน เก็บรักษา จึงเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้ เอกสารสิทธิปลอม การที่จำเลยเขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่ให้จำนวนเงินฝากน้อยกว่าความเป็นจริงโดยเชื่อได้ว่าจำเลยได้ ทำลายต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่แท้จริงอันเป็นหลักฐานของ ธนาคารผู้เสียหายซึ่งจำเลยจะต้องนำไปลงบัญชีเพื่อแสดง ยอดเงินฝากของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิทำลาย การกระทำของ จำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของผู้อื่น จำเลยได้เบียดบังเงินฝากของโจทก์ร่วมโดยแก้ไขจำนวนเงิน ในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค ให้มีจำนวนน้อยกว่าความเป็นจริง และได้เขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่ระบุจำนวนน้อยกว่า จำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝากแล้วลงบัญชีกระแสรายวัน ของโจทก์ร่วมตามจำนวนที่จำเลยแก้ไขและทำขึ้นใหม่นั้น และจำเลยไม่นำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมโดยสุจริตจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของธนาคารผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนอาคารตามคำพิพากษา: ศาลพิจารณาความครบถ้วนของการรื้อถอนโครงสร้างอาคารที่ต่อเติมเกิน
ศาลมีพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 4, 21, 22, 40, 42, 65, 66 ทวิ, 69,70, 71 เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 40,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 1,000 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานลงโทษจำเลยที่ 2จำคุก 1 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 80,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ10,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 120,000 บาท และปรับวันละคนละ 11,000 บาท จนกว่าจะรื้อถอนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 7 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 60,000 บาท และปรับรายวันอีกวันละคนละ 5,500 บาท นับแต่วันที่ 5มิถุนายน 2538 จนกว่าจะรื้อถอน ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด2 ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา 29, 30 การที่จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ขอยื่นหลักฐานการรื้อถอนอาคารเพื่อชำระค่าปรับตามคำพิพากษา โดยได้พยายามติดต่อขอเอกสารจากเขตราชเทวีเป็นเวลานาน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงขอยื่นหลักฐานเท่าที่จำเลยที่ 2 มี เป็นหลักฐานรับรองการรื้อถอนอาคารเพื่อพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทุบผนังอาคารออกทุกด้าน รื้อบันไดเวียนด้านหลังออก ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รื้อถอนส่วนที่เป็นโครงเหล็กหลังคาออก แต่เมื่อการรื้อถอนอาคารตามคำพิพากษามีความหมายว่าต้องรื้อถอนส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารที่ต่อเกินจากทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิม เมื่อปรากฏว่ายังมีโครงเหล็กหลังคาเหลืออยู่จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้รื้อถอนเสร็จแล้วยังไม่ได้ ส่วนที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 11(พ.ศ.2528) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ข้อ 2กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นบทบัญญัติสำหรับให้ผู้จะรื้อถอนอาคารจะต้องขออนุญาตมิใช่บทบัญญัติที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารเสร็จแล้วแต่อย่างใด ดังนี้จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งแสดงว่าโครงเหล็กหลังคาส่วนที่เหลืออยู่ได้รื้อถอนเสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เนื่องข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมาแล้วในคดีนี้ยังไม่พอแก่การวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์คำสั่ง จึงชอบที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนในกรณีนี้ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ยังรื้อถอนอาคารไม่หมดนั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนอาคารที่ไม่แล้วเสร็จตามคำพิพากษาศาล และการพิสูจน์การปฏิบัติตามคำสั่ง
ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4,21,22,40,42,65,66 ทวิ,69,70,71เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 2 เดือนและปรับจำเลยทั้งสองคนละ 40,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 1,000 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ80,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 10,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 120,000 บาท และปรับวันละคนละ 11,000 บาทจนกว่าจะรื้อถอนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำเลยที่ 2จำคุก 7 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 60,000 บาทและปรับรายวันอีกวันละคนละ 5,500 บาท นับแต่วันที่5 มิถุนายน 2538 จนกว่าจะรื้อถอน ให้รอการลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ขอยื่นหลักฐาน การรื้อถอนอาคารเพื่อชำระค่าปรับตามคำพิพากษา โดยได้พยายามติดต่อขอเอกสารจากเขตราชเทวี เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงขอยื่นหลักฐาน เท่าที่จำเลยที่ 2 มี เป็นหลักฐานรับรองการรื้อถอนอาคาร เพื่อพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทุบ ผนังอาคารออกทุกด้าน รื้อบันไดเวียน ด้านหลังออก ทำให้ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รื้อถอนส่วนที่เป็นโครงเหล็กหลังคาออก แต่เมื่อการรื้อถอนอาคารตามคำพิพากษามีความหมายว่า ต้องรื้อถอนส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารที่ต่อ เกินจากทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิม เมื่อปรากฏว่ายังมีโครงเหล็กหลังคาเหลืออยู่จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้รื้อถอนเสร็จแล้วยังไม่ได้ ส่วนที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2528) ออกตามความใน พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 2 กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นบทบัญญัติสำหรับให้ผู้จะ รื้อถอนอาคารจะต้องขออนุญาตมิใช่บทบัญญัติที่ให้ถือว่า จำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารเสร็จแล้วแต่อย่างใดดังนี้จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งแสดงว่าโครงเหล็กหลังคาส่วนที่เหลืออยู่ได้รื้อถอนเสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวน มาแล้วในคดีนี้ยังไม่พอแก่การวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 2เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์คำสั่ง จึงชอบที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนในกรณีนี้ต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ยังรื้อถอนอาคารไม่หมดนั้นชอบแล้ว
of 277