พบผลลัพธ์ทั้งหมด 562 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4586/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะ vs. ไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากคำด่าและพฤติการณ์ของผู้ตาย
แม้ ว.เจ้าของร้านอาหารที่เกิดเหตุและท.ลูกจ้างของว.พยานโจทก์ที่อยู่ในร้านอาหารเกิดเหตุจะเบิกความต้องกันว่า จำเลยเข้ามาในร้านอาหารแล้วทวงถามหนี้จากผู้ตาย โดย ท. เบิกความว่าผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบ ๆ คาย ๆ ว่า "ไอ้หน้าหีหน้าแตดเจอทีไรต้องทวงหนี้ทุกที กูไม่ใช้มึง มึงอยากได้ มึงก็ไปฟ้องเอา ถ้ามึงไม่ฟ้องไม่ใช่ลูกผู้ชาย" ซึ่งถ้อยคำด่าดังกล่าวนี้แม้จะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติที่หากผู้ตายเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้วก็ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมาเท่านั้น เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้วก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ของผู้ตายที่จอดอยู่ใกล้ ๆ กับหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกายหรือทรัพย์สินของจำเลยอีก พฤติการณ์ของผู้ตายที่แสดงต่อจำเลยยังถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม 16) ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าเป็นอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายเป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติ จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4582/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปกปิดข้อความในสัญญาเช่าเพื่อการลงทุน ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร หากเนื้อความหลักไม่เปลี่ยนแปลง
แม้จำเลยจะทำสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมขึ้นมาโดยการปกปิดข้อเท็จจริงบางประการไว้ แต่หากไม่ได้ทำให้เนื้อความตามข้อสัญญาต้องเปลี่ยนแปลงไปมีความหมายเป็นอย่างอื่น หรือเพิ่มเติมข้อความใหม่ให้แตกต่างไปแทนที่ข้อเท็จจริงบางอย่างไว้เช่นนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการตัดทอนข้อความอันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร อีกทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดหรือไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 264, 265
เมื่อสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมดังกล่าวไม่เป็นเอกสารปลอมแล้ว การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาอ้างถึงสัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการเบิกความเท็จได้ เพราะได้มีการทำสัญญาดังกล่าวกันจริง ทั้งจำเลยก็เบิกความไปตามที่ระบุไว้ในสัญญานั้น อีกทั้งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ถูกปกปิดมิใช่เป็นข้อความสำคัญในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท จึงมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177
เมื่อสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมดังกล่าวไม่เป็นเอกสารปลอมแล้ว การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาอ้างถึงสัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการเบิกความเท็จได้ เพราะได้มีการทำสัญญาดังกล่าวกันจริง ทั้งจำเลยก็เบิกความไปตามที่ระบุไว้ในสัญญานั้น อีกทั้งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ถูกปกปิดมิใช่เป็นข้อความสำคัญในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท จึงมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4582/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีปลอมแปลงเอกสารสัญญาเช่า และเบิกความเท็จต่อศาล ไม่เป็นความผิด ฐานปลอมแปลงเอกสาร
แม้จำเลยที่ 1 จะทำสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมขึ้นมาโดยการปกปิดข้อเท็จจริงบางประการไว้ แต่หากไม่ได้ทำให้เนื้อความตามข้อสัญญาต้องเปลี่ยนแปลงไปมีความหมายเป็นอย่างอื่นหรือเพิ่มเติมข้อความใหม่ให้แตกต่างไปแทนที่ข้อเท็จจริงที่ปกปิดไว้แล้วย่อมมีสิทธิที่จะทำได้ การปกปิดข้อเท็จจริงบางอย่างไว้เช่นนั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการตัดทอนข้อความอันจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร อีกทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดหรือไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
เมื่อสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมดังกล่าวไม่เป็นเอกสารปลอมแล้ว การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาอ้างถึงสัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการเบิกความเท็จได้ เพราะได้มีการทำสัญญาดังกล่าวกันจริง ทั้งจำเลยก็เบิกความไปตามที่ระบุไว้ในสัญญานั้น อีกทั้งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ถูกปกปิดมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทจำเลยที่ 1 จึงมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
เมื่อสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมดังกล่าวไม่เป็นเอกสารปลอมแล้ว การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาอ้างถึงสัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการเบิกความเท็จได้ เพราะได้มีการทำสัญญาดังกล่าวกันจริง ทั้งจำเลยก็เบิกความไปตามที่ระบุไว้ในสัญญานั้น อีกทั้งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ถูกปกปิดมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทจำเลยที่ 1 จึงมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4537-4540/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอจำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า ความผิดกรรมเดียว การริบของกลาง และการแก้ไขโทษ
คดีความผิดอันไม่อาจยอมความได้ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนหรือดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดคดีนี้ได้โดยไม่จำต้องมีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายตามระเบียบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 ดังนั้น ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายมอบอำนาจช่วงโดยชอบหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานอัยการโจทก์มีคำสั่งและฟ้อง การสอบสวนตลอดจนอำนาจฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นรูปและคำคือ และเครื่องหมายการค้าเป็นคำว่า "SQUARE D" แยกต่างหากจากกัน ผู้เสียหายจึงมีสิทธิที่จะเลือกใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเครื่องหมายใดเครื่องหมายหนึ่งเพียงเครื่องหมายเดียวกับสินค้าของตน หรือจะใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวทั้งสองเครื่องหมายประกอบกันกับสินค้าของตนก็ได้ การเสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายปลอม แม้จะเป็นการปลอมเพียงเครื่องหมายเดียวก็อาจเป็นความผิดตามฟ้องได้
มาตรา 114 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ใช้บังคับเมื่อกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเท่านั้น แต่ไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนิติบุคคล เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และลงโทษมาตรา 114 มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง
สินค้าของกลางทั้งสี่สำนวนจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในวันเวลาเดียวกันหรือคราวเดียว ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเดียวที่จะเสนอจำหน่ายสินค้าจำนวนดังกล่าวในคราวเดียวกัน เพียงแต่จำเลยแบ่งสินค้านำไปวางเสนอจำหน่ายเพื่อหากำไรหลายสถานที่ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสี่สำนวน เมื่อมีการรวมพิจารณาจึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
การมีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลางเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร และเมื่อพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางตามมาตรา 115 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 32 และ 33 อันเป็นบททั่วไปอีก
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/43 )
ผู้เสียหายได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นรูปและคำคือ และเครื่องหมายการค้าเป็นคำว่า "SQUARE D" แยกต่างหากจากกัน ผู้เสียหายจึงมีสิทธิที่จะเลือกใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเครื่องหมายใดเครื่องหมายหนึ่งเพียงเครื่องหมายเดียวกับสินค้าของตน หรือจะใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวทั้งสองเครื่องหมายประกอบกันกับสินค้าของตนก็ได้ การเสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายปลอม แม้จะเป็นการปลอมเพียงเครื่องหมายเดียวก็อาจเป็นความผิดตามฟ้องได้
มาตรา 114 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ใช้บังคับเมื่อกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเท่านั้น แต่ไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนิติบุคคล เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และลงโทษมาตรา 114 มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง
สินค้าของกลางทั้งสี่สำนวนจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในวันเวลาเดียวกันหรือคราวเดียว ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเดียวที่จะเสนอจำหน่ายสินค้าจำนวนดังกล่าวในคราวเดียวกัน เพียงแต่จำเลยแบ่งสินค้านำไปวางเสนอจำหน่ายเพื่อหากำไรหลายสถานที่ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสี่สำนวน เมื่อมีการรวมพิจารณาจึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
การมีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลางเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร และเมื่อพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางตามมาตรา 115 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 32 และ 33 อันเป็นบททั่วไปอีก
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/43 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4537-4540/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียว สินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า การริบของกลาง และการปรับบท
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมในวันเวลาเดียวกันหรือคราวเดียว โดยแบ่ง สินค้าแยกวางเสนอจำหน่ายในสถานที่ต่างกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 มีเจตนาเดียวที่จะเสนอจำหน่ายสินค้าจำนวนดังกล่าว ในคราวเดียวกัน เพียงแต่แยกวางจำหน่ายในสถานที่ต่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 มีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลาง เป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตใน ราชอาณาจักร และไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์สินค้าของกลางตาม ประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นบททั่วไปอีก
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 มีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลาง เป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตใน ราชอาณาจักร และไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์สินค้าของกลางตาม ประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและจำหน่ายยาเสพติดโดยเจตนา และการมีส่วนรู้เห็นร่วมกันกระทำผิด
จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด อยู่ในกระเป๋าด้านหน้าข้างขวาที่จำเลยที่ 2 สวมใส่อยู่เมื่อจำเลยที่ 2 ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ทั้งในตัวของจำเลยที่ 2 ยังมีเมทแอมเฟตามีนถึง 10 เม็ด เช่นนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา241 วรรคสอง บัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญฯการสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา241 วรรคสอง บัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญฯการสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ต้องหาในการมีทนายความร่วมฟังการสอบสวน: พนักงานสอบสวนไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสองบัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน ดังนั้น แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนดังที่จำเลยอ้างก็ตามก็ไม่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด: พฤติการณ์เชื่อได้ว่ามีส่วนรู้เห็นและมีส่วนร่วม
จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ดอยู่ในกระเป๋าด้านหน้าข้างขวาที่จำเลยที่ 2 สวมใส่อยู่เมื่อจำเลยที่ 2ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ทั้งในตัวของจำเลยที่ 2 ยังมีเมทแอมเฟตามีนถึง 10 เม็ดเช่นนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 1ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสอง บัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสอง บัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล กรณีสินค้าถูกกักและทำลาย
++ เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ รับขนของทางทะเล ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
++ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามประการแรกมีว่า ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามประเด็นที่ได้กำหนดไว้เรียงกันไปทุกข้อหรือไม่
++ เห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามที่เห็นว่าสมควรตามความจำเป็นแห่งคดี
++ เมื่อปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และศาลได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ ฉะนั้นถ้าหากได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้เป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลยแล้วจะไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีในข้ออื่นเพราะแม้จะพิจารณาไปก็ไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยเช่นนั้นได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่กำหนดไว้ให้หมดทุกข้อ
++
++ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามประการต่อไปมีว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
++ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการรับขนทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 46 สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายเพื่อการเสียหายแห่งของที่รับขนในกรณีที่ไม่มีการส่งมอบของเลยให้นับอายุความ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดส่งมอบของนั้นหรือล่วงเลยกำหนดเวลาอันสมควรส่งมอบ
++ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยสอดคล้องกันว่า มีการส่งสินค้าให้แก่ผู้ขนส่งที่ท่าเรือซานโฮเซเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2538 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.18 การขนส่งจากท่าเรือซานโฮเซไปยังท่าเรือลอสแองเจลิสใช้เวลาประมาณ 4 วัน และจากท่าเรือลอสแองเจลิสใช้เวลาเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครประมาณ 1 เดือน และได้ความจากนางพรรณี ตั้งเรือนวงศ์ กรรมการผู้จัดการของโจทก์ที่ 1 ว่าได้ตรวจสอบเอกสารทราบว่าเรือจะเดินทางมาถึงประเทศไทยประมาณต้นเดือนตุลาคม 2538 จึงไปติดต่อขอรับสินค้าพิพาทจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าเรือมาเทียบท่าแล้ว แต่ไม่มีตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าพิพาทมาด้วย ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากโจทก์ที่ 2ว่าได้รับแจ้งจากตัวแทนจำเลยในประเทศไทยว่าสินค้าจะมาถึงท่าเรือกรุงเทพประมาณกลางเดือนตุลาคม 2538 แสดงว่าในการขนส่งสินค้าพิพาท สินค้าพิพาทควรจะต้องมาถึงประเทศไทยและส่งมอบประมาณเดือนตุลาคม 2538 ฉะนั้น อายุความจะต้องเริ่มนับแต่ช่วงเวลานั้นเมื่อนับแต่ช่วงเวลาดังกล่าวถึงวันฟ้องคือวันที่ 12 พฤษภาคม 2540เป็นเวลาเกิน 1 ปี แล้ว คดีของโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความฟ้องร้องในกรณีที่ขอให้รับผิดเมื่อไม่มีการส่งมอบสินค้าตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 46
++ ส่วนที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญารับขนโดยสิ้นเชิงจึงต้องนำอายุความทั่วไปคือ 10 ปี มาบังคับนั้น
++ ได้ความว่า จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ขนส่งสินค้าพิพาทมาช่วงหนึ่งแล้ว ก่อนที่สินค้าจะถูกกัก เพราะมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญารับขนโดยสิ้นเชิง
++ เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
++ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามประการแรกมีว่า ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามประเด็นที่ได้กำหนดไว้เรียงกันไปทุกข้อหรือไม่
++ เห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามที่เห็นว่าสมควรตามความจำเป็นแห่งคดี
++ เมื่อปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และศาลได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ ฉะนั้นถ้าหากได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้เป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลยแล้วจะไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีในข้ออื่นเพราะแม้จะพิจารณาไปก็ไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยเช่นนั้นได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่กำหนดไว้ให้หมดทุกข้อ
++
++ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามประการต่อไปมีว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
++ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการรับขนทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 46 สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายเพื่อการเสียหายแห่งของที่รับขนในกรณีที่ไม่มีการส่งมอบของเลยให้นับอายุความ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดส่งมอบของนั้นหรือล่วงเลยกำหนดเวลาอันสมควรส่งมอบ
++ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยสอดคล้องกันว่า มีการส่งสินค้าให้แก่ผู้ขนส่งที่ท่าเรือซานโฮเซเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2538 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.18 การขนส่งจากท่าเรือซานโฮเซไปยังท่าเรือลอสแองเจลิสใช้เวลาประมาณ 4 วัน และจากท่าเรือลอสแองเจลิสใช้เวลาเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครประมาณ 1 เดือน และได้ความจากนางพรรณี ตั้งเรือนวงศ์ กรรมการผู้จัดการของโจทก์ที่ 1 ว่าได้ตรวจสอบเอกสารทราบว่าเรือจะเดินทางมาถึงประเทศไทยประมาณต้นเดือนตุลาคม 2538 จึงไปติดต่อขอรับสินค้าพิพาทจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าเรือมาเทียบท่าแล้ว แต่ไม่มีตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าพิพาทมาด้วย ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากโจทก์ที่ 2ว่าได้รับแจ้งจากตัวแทนจำเลยในประเทศไทยว่าสินค้าจะมาถึงท่าเรือกรุงเทพประมาณกลางเดือนตุลาคม 2538 แสดงว่าในการขนส่งสินค้าพิพาท สินค้าพิพาทควรจะต้องมาถึงประเทศไทยและส่งมอบประมาณเดือนตุลาคม 2538 ฉะนั้น อายุความจะต้องเริ่มนับแต่ช่วงเวลานั้นเมื่อนับแต่ช่วงเวลาดังกล่าวถึงวันฟ้องคือวันที่ 12 พฤษภาคม 2540เป็นเวลาเกิน 1 ปี แล้ว คดีของโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความฟ้องร้องในกรณีที่ขอให้รับผิดเมื่อไม่มีการส่งมอบสินค้าตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 46
++ ส่วนที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญารับขนโดยสิ้นเชิงจึงต้องนำอายุความทั่วไปคือ 10 ปี มาบังคับนั้น
++ ได้ความว่า จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ขนส่งสินค้าพิพาทมาช่วงหนึ่งแล้ว ก่อนที่สินค้าจะถูกกัก เพราะมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญารับขนโดยสิ้นเชิง
++ เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับใช้ ป.วิ.พ.มาตรา 245(1) เฉพาะคู่ความที่ไม่ได้อุทธรณ์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเกินขอบเขต
ป.วิ.พ.มาตรา 245 (1) ใช้เฉพาะกรณีที่เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย คงให้แต่จำเลยร่วมรับผิด โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมจึงขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา142, 243, 245 การที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันเป็นคดีต่างหาก ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นมา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย คงให้แต่จำเลยร่วมรับผิด โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมจึงขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา142, 243, 245 การที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันเป็นคดีต่างหาก ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นมา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้