คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พินิจ เพชรรุ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 562 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, พยาน, สัญญาเช่า: การรับฟังพยานที่ไม่เป็นคู่ความ และอำนาจฟ้องของโจทก์
แม้โจทก์และจำเลยจะอ้าง ท. เป็นพยาน แต่ตอนที่ ท. เบิกความได้เบิกความในฐานะพยานจำเลย หาได้เบิกความในฐานะพยานโจทก์ด้วยไม่ ว. และ อ. พยานโจทก์ซึ่งนั่งฟัง ท. เบิกความ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1982/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาหุ้นส่วนโดยไม่ยินยอมขัดต่อกฎหมาย และผลกระทบต่อการชำระบัญชีหุ้นส่วน
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาเข้าร่วมทุนเป็นหุ้นส่วนกันในการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญเพื่อดำเนินกิจการเปิด ร้านอาหารโดยมีวัตถุประสงค์หาผลกำไรแบ่งกัน ซึ่งในการร่วมทุนกันนั้นโจทก์เป็นผู้ลงหุ้นเป็นเงิน ส่วนจำเลยลงหุ้น เป็นแรงงาน เมื่อตามสัญญากำหนดให้โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของร้านอาหารเพียงผู้เดียวซึ่งถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญในการตกลงเข้าหุ้นทำกิจการร่วมกันในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ลงทุนเป็นเงินทั้งหมด ข้อสัญญาดังกล่าวนี้จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เว้นแต่โจทก์หุ้นส่วนอีกคนหนึ่งจะยินยอมด้วย การที่จำเลยปิด ร้านอาหารแล้วเปิดดำเนินกิจการใหม่ในวันรุ่งขึ้น โดยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องในกิจการร้านอาหารนั้น ก็หมายความว่าจำเลยเป็นผู้เข้ารับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินในการจัดเก็บรายได้และรายจ่ายในการดำเนินกิจการของร้านอาหารทั้งหมดแทนโจทก์ อันเป็นหน้าที่ของโจทก์ตามสัญญา จึงถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงข้อสัญญาที่ทำกันไว้โดยที่โจทก์ไม่ได้ยินยอมด้วย เป็นการขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1032 การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาเข้าหุ้นส่วนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกา
โจทก์มีความประสงค์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ แม้คำขอท้ายคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์จะระบุขอให้ส่งไปยังศาลอุทธรณ์ด้วยเหตุผิดหลงใด ๆ ก็ตาม ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะส่งคำร้องฉบับนี้ไปให้ศาลฎีกาพิจารณาจึงจะเป็นการชอบด้วยบทบัญญัติของ ป.วิ.อ.มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา และข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้น/อุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ไม่ว่าฎีกาของโจทก์จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายก็ย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวทั้งสิ้น
บทบัญญัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224ตอนแรกระบุให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาต่อศาลฎีกา แต่ข้อความถัดไปก็ระบุให้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นและมีบทบังคับชัดเจนว่าให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องเช่นว่านั้นไปยังศาลฎีกาดังนั้น แม้คำขอท้ายคำร้องอุทธรณ์คำสั่งจะระบุขอให้ส่งไปยังศาลอุทธรณ์ด้วยเหตุผิดหลงใด ๆ ก็ตาม ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะส่งคำร้องไปให้ศาลฎีกาพิจารณาจึงจะเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 และการห้ามฎีกาตามมาตรา 220
โจทก์มีความประสงค์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ แม้คำขอท้ายคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์จะระบุขอให้ส่งไปยังศาลอุทธรณ์ด้วยเหตุผิดหลงใด ๆ ก็ตาม ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะส่งคำร้องฉบับนี้ไปให้ศาลฎีกาพิจารณาจึงจะเป็นการชอบด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องค่าสินค้า: ลูกหนี้ประกอบธุรกิจ อายุความ 5 ปี
กำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33(5)ที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 193/34(1) ต้องคำนึงถึงสถานะภาพของฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ คือหากลูกหนี้เป็นผู้อุปโภคหรือบริโภคเองแล้ว สิทธิเรียกร้องที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้มีกำหนดอายุความสองปี แต่ถ้าลูกหนี้ได้ใช้ ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ต่อไปอีกต่อหนึ่งแล้ว สิทธิเรียกร้องดังกล่าว มีกำหนดอายุความห้าปี เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อแผ่นพลาสติก จากโจทก์เพื่อใช้เอง แต่ได้ใช้ประกอบกิจการค้าของจำเลยทั้งสอง เพื่อแสวงหากำไรต่อไปอีกทอดหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมี อายุความห้าปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิไม่สุจริตของธนาคารเจ้าหนี้ที่ไม่นำหลักประกันมาหักชำระหนี้แต่คิดดอกเบี้ย
ตามสัญญาทรัสต์รีซีทระบุให้โจทก์มีสิทธิถอนหรือหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำพร้อมดอกเบี้ยชำระหนี้โจทก์ได้ทันทีหากจำเลยที่ 1 ผิดนัด เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าสินค้าที่โจทก์ชำระแทนไปก่อน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะหักเงินฝากจากบัญชีชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทันที ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในการได้รับชำระหนี้บางส่วนและเป็นประโยชน์แก่จำเลยทั้งสามที่จะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนต้นเงินส่วนที่ควรหักชำระหนี้ไปนั้น เมื่อไม่ได้ความว่ามีเหตุขัดข้องที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถหักเงินฝากชำระหนี้ได้ การที่โจทก์มิได้หักเงินฝากนอกจากจะเป็นการไม่ใช้สิทธิของโจทก์ตามสัญญาแล้วยังเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไม่คำนึงถึงประโยชน์ลูกค้าแต่กลับมุ่งหวังประโยชน์ในดอกเบี้ยจากลูกค้าอันเป็นการเอาเปรียบโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ถือได้ว่าการที่โจทก์ไม่หักชำระหนี้ต้นเงินบางส่วนแต่กลับมาฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ควรได้รับการชำระหนี้แล้ว เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดในส่วนเฉพาะดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ต้องไม่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วไป แม้มีสัญญาให้คิดดอกเบี้ยสูงสุดได้
การที่โจทก์มิได้หักเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำตามสัญญาชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 นอกจากจะเป็นการไม่ใช้สิทธิของโจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ยังเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นได้ว่า โจทก์ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้า แต่กลับมุ่งหวังประโยชน์ในดอกเบี้ยจากลูกค้าอันเป็นการเอาเปรียบลูกค้าโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ถือได้ว่าการที่โจทก์ไม่หักชำระหนี้ต้นเงินบางส่วนดังกล่าวแต่กลับมาฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ควรได้รับการชำระหนี้แล้วจำนวน 1,500,000 บาท นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในส่วนต้นเงิน 1,500,000 บาท อยู่ แต่ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดในส่วนเฉพาะดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยส่วนนี้เป็นเหตุที่สืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45
สัญญาทรัสต์รีซีท ข้อ 4 ระบุว่า ยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ระบุไว้ตามรายละเอียดแนบท้ายในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ตามที่มีประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 19 ต่อปี) นับแต่วันที่ธนาคารได้ชำระเงินค่าสินค้าแทน แสดงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดดังกล่าวได้แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะมิได้ผิดนัดชำระหนี้ ส่วนในกรณีที่มีการผิดนัดชำระหนี้มีข้อตกลงกันตามสัญญา ข้อ 7 ว่า ยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยในอัตราตามที่กำหนดในข้อ 4. นับแต่วันที่ผิดนัดจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น และยินยอมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝากทุกประเภทที่มีอยู่กับธนาคารเพื่อชำระหนี้ได้ทันที และเมื่อหักแล้วปรากฏยังเหลือหนี้ค้างชำระอยู่อีกเป็นจำนวนเท่าใด ยอมให้ธนาคารนำหนี้ที่เหลือค้างชำระดังกล่าวลงจ่ายในบัญชีเดินสะพัด และเป็นหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ธนาคารพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดดังกล่าวตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดของธนาคาร และหรือยินยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน นับแต่วันที่เป็นหนี้ตามบัญชีเดินสะพัด สัญญาข้อนี้แสดงว่าในกรณีจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้โจทก์เรียกเก็บได้ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดในกรณีที่มิได้ผิดนัดตามสัญญา ข้อ 4. และหากอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปก็ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยตามอัตราสูงสุดที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวจำเลยที่ 1 ก่อนเท่านั้น เมื่อข้อสัญญาดังกล่าวให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดอัตราเดียวกับกรณีที่ไม่ผิดนัด ไม่ใช่ข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่โจทก์คิดดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยก่อนผิดนัด ดังนี้ ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะผิดนัดหรือไม่ก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราเดียวกัน สัญญาข้อ 7 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสัญญากำหนดค่าเสียหายเพื่อการผิดนัดชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า อันจะถือเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลจะมีอำนาจลดลงตามสมควรได้ตามมาตรา 383
แม้จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2535 โดยธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วไปสูงสุดได้และโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยมาในอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้แล้วก็ตาม แต่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทก่อนที่จะมีหลักเกณฑ์ใหม่ออกมาใช้บังคับ และตามสัญญาทรัสต์รีซีท ข้อ 7. กำหนดให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยกรณีจำเลยที่ 1 ผิดนัดในอัตราสูงสุดได้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่คิดก่อนผิดนัด ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ผิดนัดโจทก์ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราที่สูงไปกว่าที่โจทก์มีสิทธิเรียกก่อนจำเลยที่ 1 ผิดนัดได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในระหว่างผิดนัดชำระหนี้ได้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่คิดได้จากลูกค้าทั่วไปที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งได้แก่อัตราดอกเบี้ยทั่วไปสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดเป็นกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 14 (2) ซึ่งโจทก์ต้องปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืนจะเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญาตามมาตรา 44 ดังนี้ ปัญหาว่าธนาคารโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกค้าถูกต้องตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ ย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องไม่มีคู่ความอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ตามคำให้การจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าการที่โจทก์นำเงินไปหักชำระหนี้ล่าช้า เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายที่จะต้องนำค่าเสียหายมาหักหนี้แต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นให้ต้องวินิจฉัย นอกจากนี้ แม้โจทก์จะนำเงินนั้นไปหักชำระหนี้ทันทีก็หักชำระหนี้ได้เฉพาะดอกเบี้ย การหักชำระหนี้ล่าช้าไม่ใช่กรณีที่ทำให้ต้นเงินที่โจทก์ใช้เป็นฐานในการคิดดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป การกระทำของโจทก์จึงมิใช่การเอาเปรียบจำเลยทั้งสาม อันจะถือว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตที่จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวและพิพากษาให้หักค่าเสียหายออกจากหนี้ 150,000 บาท จึงไม่ชอบเพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น แม้โจทก์จะอ้างว่า ส. และจำเลยที่ 3 นำสิทธิในเงินฝากประจำมาประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ และทำสัญญายอมให้โจทก์หักหรือถอนเงินฝากเข้าชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้ทันทีก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ใช้สิทธิหักชำระหนี้ แล้วกลับมาขอให้พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิหักชำระหนี้จากเงินฝากดังกล่าว ซึ่งจะมีผลถึง ส. ที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องมาในคดีนี้ด้วย จึงบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์เมื่อแบบผลิตภัณฑ์ไม่ใหม่ คล้ายกับที่เปิดเผยก่อนหน้านี้
++ เรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตร ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความทั้งสองฝ่ายมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า
++ โจทก์เป็นผู้ผลิตปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์ออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าเป็นรูปและคำ คือ เครื่องหมายการค้า++++++++++++ มีลักษณะเป็นปลอกหุ้มพวงมาลัยรถทรงกลมเป็นวงไส้กลางกลวง เป็นยางห่อหุ้มด้วยปุ่มนูนเป็นหนัง พี.วี.ซี. ขอบตรง ปุ่มนูนรวมเป็นกลุ่มรวม 3 แห่ง สลับกับพื้นเรียบตามภาพถ่ายหมาย จ.3 คือภาพดังต่อไปนี้
++++++++++ ++++++++ +++++++++
+++++++++ ++++++++ +++++++++
++
++ จำเลยเป็นเจ้าของแบบผลิตภัณฑ์ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถมีลักษณะเป็นปลอกหุ้มทรงกลม ไส้กลางกลวง มีปุ่มนูนขอบเฉียงเป็นกลุ่มรวม 3 กลุ่ม ระยะห่างเท่า ๆ กัน ส่วนที่เหลือเป็นพื้นเรียบเจาะรูเป็นจุดขาว ตามคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" เอกสารหมาย ล.4 โดยจำเลยได้นำแบบปลอกหุ้มพวงมาลัยรถดังกล่าวไปยื่นคำขอรับสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2536 เป็นคำขอเลขที่ 019798 โดยมีข้อถือสิทธิในลักษณะลวดลายของปลอกหุ้มพวงมาลัยรถดังปรากฏตามรูปต่อไปนี้
+++++++ ++++++++++++ ++++++++++
++ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาอนุมัติคำขอของจำเลยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2538เป็นทะเบียนเลขที่ 4956
++ ต่อมาจำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่า บริษัทอินเตอร์สตาร์ออโต้โปรดักซ์ จำกัด ละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" ของจำเลย และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน2540 จำเลยนำร้อยตำรวจโทอภิชาติ อภิชานนท์ ไปตรวจค้นบ้านเลขที่26/82-83 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ได้ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถที่โจทก์เป็นเจ้าของผู้ผลิตจำนวน 3,184 เส้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่บริษัทอินเตอร์สตาร์ออโต้โปรดักซ์ จำกัด ซึ่งมีโจทก์เป็นกรรมการ โจทก์ และนางอุษา อัศวพิภพหรือลิขิตรัตนดารา ว่าร่วมกันขาย เสนอขาย หรือมีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรโดยไม่รับอนุญาตจากผู้ทรงสิทธิบัตร ในที่สุดพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้วตามหนังสือแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องเอกสารหมาย จ.39
++
++ มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
++ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าแบบผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วนั้น ได้มีการเปิดเผยในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ใด ลักษณะของแบบผลิตภัณฑ์ที่เปิดเผยดังกล่าวมีลักษณะอย่างไร ทำให้จำเลยไม่สามารถเปรียบเทียบแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยกับแบบผลิตภัณฑ์ที่โจทก์อ้างได้ เพราะการพิจารณาว่าแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรเป็นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่ต้องเกิดจากการเปรียบเทียบแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรนั้นกับแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นงานที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้ว
++ เห็นว่า ในข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า แบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมีสีดำ มีปุ่มนูนเรียงเป็นแถวหลายแถวรวม 3 แห่ง พื้นที่นอกเหนือจากปุ่มนูนเป็นพื้นเรียบมีจุดขาวทั่วไป ลักษณะของแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เปิดเผยอยู่แล้วในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนที่จำเลยจะขอรับสิทธิบัตรและจำเลยได้ลอกเลียนซึ่งลักษณะลวดลายของแบบผลิตภัณฑ์นั้นในส่วนที่เป็นสาระสำคัญจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบดังกล่าวมาขอรับสิทธิบัตร แบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยจึงไม่อาจถือว่าเป็นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์แต่ถูกจำเลยกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าสินค้าปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์ของโจทก์เป็นสินค้าที่ละเมิดสิทธิบัตรของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่มีร้านค้าใดกล้าสั่งซื้อสินค้าของโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์อันไม่สมบูรณ์ของจำเลย ขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวของจำเลย
++ ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยแล้วมีสีและลักษณะอย่างไร แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องไว้แจ้งชัดแล้วว่า แบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมีสีและลักษณะอย่างไร คำฟ้องของโจทก์จึงได้แสดงให้พอเข้าใจได้แล้วว่าแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วมีลักษณะอย่างไร ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ต่อไปว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่มีมูลความจริง แบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยเป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่นายสุรศักดิ์ ธีระไชยกุล ออกแบบคิดประดิษฐ์ขึ้นเองโดยชอบ มิได้ลอกเลียนจากแบบผลิตภัณฑ์ใดที่มีปรากฏอยู่ก่อนแล้ว แสดงว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องของโจทก์จึงสามารถให้การต่อสู้คดีได้เช่นนั้น
++ ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า แบบผลิตภัณฑ์ที่ได้เปิดแผยแล้วได้เปิดเผยในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ใดนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
++ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2540 ข้อ 6และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 26 และ 30 แล้ว ++
++
++ มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่ 2 ว่า สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" เลขที่ 4956 ของจำเลยเป็นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่
++ จำเลยอุทธรณ์ว่า การพิจารณาว่าแบบผลิตภัณฑ์หนึ่งแตกต่างจากแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นงานที่ปรากฏอยู่ก่อนหรือไม่ ชอบที่จะพิจารณาจากภาพรวมของแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งรวมถึงรายละเอียดของแบบผลิตภัณฑ์ที่นำมาเปรียบเทียบกัน มิใช่พิจารณาแต่เพียงโครงสร้างหลักของแบบผลิตภัณฑ์ดังนั้น ลำพังแต่ข้อเท็จจริงว่าแบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรเอกสารหมาย ล.4มีโครงสร้างหลักคือการนำปุ่มยางมาใช้รวม 3 แห่ง วางสลับกับส่วนที่เป็นพื้นเรียบ ย่อมไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังว่าแบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรเอกสารหมาย ล.4 ของจำเลยเป็นแบบผลิตภัณฑ์เดียวกันหรือเหมือนหรือคล้ายกันจนเป็นการเลียนแบบภาพสินค้าเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.11 ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ที่ให้พิจารณาความใหม่ของแบบผลิตภัณฑ์จากความแตกต่างของผลิตภัณฑ์หนึ่งกับอีกแบบผลิตภัณฑ์หนึ่งเพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้น แต่มิใช่พิจารณาความใหม่เฉพาะจากสิ่งที่เป็นโครงสร้างหลักของแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น การพิจารณารายละเอียดหรือภาพรวมของแบบผลิตภัณฑ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาความใหม่ของผลิตภัณฑ์ เพราะภาพรวมหรือรายละเอียดที่แตกต่างกันอย่างเพียงพอของแบบผลิตภัณฑ์หนึ่งกับอีกแบบผลิตภัณฑ์หนึ่งจะเป็นเครื่องชี้สำคัญที่ทำให้แบบผลิตภัณฑ์นั้นแตกต่างกัน หรือเป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่สะดุดตาน่าสนใจกว่ากัน อันส่งผลต่อผู้บริโภคสินค้าภายใต้แบบผลิตภัณฑ์นั้น ๆ และเป็นสิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง
++ เห็นว่า ปัญหานี้พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 56 หรือ 57 บัญญัติให้การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ กล่าวคือ
ต้องไม่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
ต้องไม่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
ต้องไม่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เคยมีประกาศโฆษณาตามมาตรา 65 ประกอบด้วยมาตรา 28มาแล้วก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
และต้องไม่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรหรือที่ได้มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรหรือที่เคยมีประกาศโฆษณาดังกล่าวก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
และมาตรา 59 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้บัญญัติให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องระบุข้อถือสิทธิโดยชัดแจ้งและภาพแสดงแบบผลิตภัณฑ์ในคำขอรับสิทธิบัตรด้วย
++ ดังนี้การพิจารณาว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่จึงต้องพิจารณาจากข้อถือสิทธิในการออกแบบผลิตภัณฑ์และภาพแสดงแบบผลิตภัณฑ์ในคำขอรับสิทธิบัตรว่าผู้ขอรับสิทธิบัตรขอถือสิทธิในแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในส่วนใดเปรียบเทียบกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักร แบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วในและนอกราชอาณาจักร และแบบผลิตภัณฑ์ที่เคยมีประกาศโฆษณาตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ประกอบด้วยมาตรา 28 มาแล้วก่อนวันขอรับสิทธิบัตรว่าข้อถือสิทธิตามคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เหมือนหรือคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบหรือไม่ หาใช่ต้องพิจารณาจากภาพรวมของแบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรทั้งหมดเปรียบเทียบกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้วดังกล่าวไม่
++ คำว่า "แบบผลิตภัณฑ์"ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายความว่ารูปร่างของผลิตภัณฑ์ หรือองค์ประกอบของลวดลาย หรือสีของผลิตภัณฑ์อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรมได้ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์จึงเป็นการให้ความคุ้มครองแก่ลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์อันได้แก่ รูปร่างของผลิตภัณฑ์ลักษณะลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์อันมีลักษณะพิเศษตามที่ปรากฏ
++ ในข้อถือสิทธิโจทก์นำสืบว่า ข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" เลขที่ 4956 ของจำเลยซึ่งจำเลยยื่นคำขอรับสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2536 คือลักษณะลวดลายของปลอกหุ้มพวงมาลัยรถดังปรากฏตามรูปดังต่อไปนี้
+++++++++ ++++++++++ +++++++++
++
ส่วนแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียดในสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วนอกราชอาณาจักรก่อนวันที่จำเลยยื่นคำขอรับสิทธิบัตรดังกล่าว ปรากฏตามภาพโฆษณาสินค้าปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์ในนิตยสาร "Hardwares" ประจำเดือนพฤศจิกายน 2534 เดือนเมษายน2535 เดือนกรกฎาคม 2535 เดือนตุลาคม 2535 และเดือนพฤศจิกายน2535 จำนวน 5 เล่ม เอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.11 คือภาพ
+++++ +++++ +++++ +++++ +++++ +++++
++ตามลำดับ
เมื่อเปรียบเทียบข้อถือสิทธิการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏอยู่แล้วดังกล่าว จะเห็นได้ว่า
ลักษณะพิเศษของลวดลายปลอกหุ้มพวงมาลัยรถตามข้อถือสิทธิการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยอยู่ที่ปุ่มนูนเรียงเป็นแถวหลายแถวรวม 3 แห่ง มีความยาวเท่ากันและห่างกันในระยะเท่ากัน โดยมีลักษณะโค้งไปตามแนววงกลมของพวงมาลัยรถซึ่งมีสีดำ
ส่วนพื้นที่นอกเหนือจากปุ่มนูนเป็นพื้นเรียบสีเขียวมีจุดขาวหลายจุด
ลักษณะพิเศษของลวดลายปลอกหุ้มพวงมาลัยรถตามข้อถือสิทธิดังกล่าวเหมือนกับปุ่มนูนเรียงเป็นแถวหลายแถวรวม 3 แห่งมีความยาวเท่ากันและห่างกันในระยะเท่ากันโดยมีลักษณะโค้งไปตามแนววงกลมของพวงมาลัยรถซึ่งมีสีดำตามภาพแบบผลิตภัณฑ์ในนิตยสาร"Hardwares" ที่เผยแพร่อยู่แล้วนอกราชอาณาจักรก่อนที่จำเลยจะยื่นคำขอรับสิทธิบัตรดังกล่าว
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลักษณะปุ่มนูนดังกล่าวเป็นลักษณะเด่นหรือลักษณะพิเศษอันเป็นสาระสำคัญของแบบผลิตภัณฑ์ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถตามเอกสารหมาย จ.7ถึง จ.11 เช่นกัน
ลักษณะลวดลายของแบบผลิตภัณฑ์ตามข้อถือสิทธิของจำเลยต่างกับลักษณะลวดลายของแบบผลิตภัณฑ์ตามภาพในเอกสารหมายจ.7 ถึง จ.11 เฉพาะในส่วนที่เป็นพื้นเรียบนอกจากปุ่มนูนโดยมีสีต่างกันและบางแบบผลิตภัณฑ์ไม่มีจุดสีขาวอย่างแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยเท่านั้น
การออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" ตามข้อถือสิทธิของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่
เพราะแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วนอกราชอาณาจักรก่อนวันที่จำเลยขอรับสิทธิบัตรจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522
สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" เลขที่ 4956ของจำเลยย่อมเป็นสิทธิบัตรที่ออกไปโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งบัญญัติว่า "การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรตามพระราชบัญญัตินี้ได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรม" และถือว่าเป็นสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ผลิตปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์ออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า ++++++++++มีลักษณะเป็นปลอกหุ้มพวงมาลัยรถทรงกลมเป็นวง ไส้กลางกลวง เป็นยางห่อหุ้มด้วยปุ่มนูนเป็นหนัง พี.วี.ซี. ขอบตรง มีปุ่มนูนรวมเป็นกลุ่ม 3 แห่งสลับกับพื้นเรียบ ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 คือภาพดังต่อไปนี้
++++++++ ++++++++ +++++++++
++++++++ ++++++++ +++++++++
+ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับปลอกหุ้มพวงมาลัยรถตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ เลขที่ 4956 ของจำเลยจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบ จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่มีร้านค้าใดกล้าสั่งซื้อสินค้าปลอกหุ้มพวงมาลัยรถยนต์ของโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิฟ้องต่อศาลให้เพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคสอง
++ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า แบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยเป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่นายสุรศักดิ์ ธีระไชยกุล ออกแบบคิดประดิษฐ์ขึ้นเองโดยชอบ มิได้ลอกเลียนจากแบบผลิตภัณฑ์ใดที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้วนั้น
เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยอ้างและแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏอยู่แล้วจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบโดยบังเอิญ จำเลยก็ไม่อาจขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" ของจำเลยได้
เพราะการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 57 ดังได้วินิจฉัยแล้ว
ดังนี้ เมื่อสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถของจำเลยตามสิทธิบัตรนั้งจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 จำเลยย่อมไม่อาจเรียกให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์แก่จำเลยโดยอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยได้ ++
++ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ "ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถ" เลขที่ 4956ของจำเลยไม่สมบูรณ์ พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าว นั้นชอบแล้ว ++
++ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ. ++

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อนย่อมมีสิทธิมากกว่า แม้ไม่ได้จดทะเบียนในไทย
โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศมาเลเซียตั้งแต่ปี 2531 ทั้งได้โฆษณาและนำสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกจำหน่ายในประเทศมาเลเซียและประเทศอื่น โจทก์จึงเป็นผู้ที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวอยู่ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยรับโอนและขอจดทะเบียนใหม่ ดังนี้ไม่ว่าโจทก์จะได้ส่งสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมาจำหน่ายในประเทศไทยก่อนมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยหรือไม่ ก็ตาม โจทก์ก็เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลย
of 57