คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พูนศักดิ์ จงกลนี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7449/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีมรดก: การครอบครองทรัพย์มรดกโดยผู้อื่นเกิน 10 ปี ทำให้สิทธิเรียกร้องแบ่งมรดกขาดอายุความ
เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกโดยโจทก์มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องเลยเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ฉะนั้น สิทธิของโจทก์ให้จำเลยทั้งสี่แบ่งมรดกจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 สิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นทรัพย์มรดกย่อมตกแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โดยสมบูรณ์
หลังจากที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้ว ช. ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกแต่ก็เป็นเวลาภายหลังที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วประมาณ 15 ปี และเป็นเวลาภายหลังจากที่สิทธิของโจทก์ขาดอายุความมรดก และในการยื่นคำร้องขอของ ช. ก็มิได้ระบุว่าโจทก์เป็นทายาท ครั้น ช. ขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกจำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก็ไม่ระบุว่าโจทก์เป็นทายาทเช่นกัน และเมื่อจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 และ ป. ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ถอนจำเลยที่ 4 จากการเป็นผู้จัดการมรดกและตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกแทน ได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ที่ดินและตึกแถวตกแก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกและให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกแทน ดังนี้ การยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดย ช. และโดยจำเลยที่ 4 การร้องคัดค้านของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และ ป. ที่ให้ถอนจำเลยที่ 4 จากการเป็นผู้จัดการมรดก รวมทั้งการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็เพื่อจะดำเนินการให้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางทะเบียนเพื่อให้ได้สิทธิโดยสมบูรณ์ในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกเท่านั้น หาใช่เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งสิ้นสิทธิในการฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดกไปโดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 แล้วไม่ ฉะนั้น จึงถือไม่ได้ว่า ช. ป. และจำเลยทั้งสี่ครอบครองทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกแทนหรือเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ไม่โจทก์จะยกเอาประโยชน์แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 มาอ้างสิทธิเพื่อเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7449/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความมรดกและการครอบครองทรัพย์มรดกโดยทายาทอื่น สิทธิโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754
หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย โจทก์ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือครอบครองที่ดินพิพาท คงมีแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่เข้าครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกโดยโจทก์มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องเลยเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้ว สิทธิของโจทก์ให้จำเลยทั้งสี่แบ่งมรดกซึ่งเป็นคดีมรดกจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 สิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นทรัพย์มรดกย่อมตกแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โดยสมบูรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7402-7403/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าตอบแทนการทำงาน (ค่าน้ำมัน/โทรศัพท์) ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย และการเลิกจ้างที่ไม่ระบุเหตุผล
นายจ้างจ่ายค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน เป็นเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่าลูกจ้างจะได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากน้อย เท่าใด ทั้งลูกจ้างไม่ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถหรือใบเสร็จค่าโทรศัพท์เป็นหลักฐานในการรับเงินดังกล่าว เงินค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้าง ตามสัญญาจ้าง ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5
บทบัญญัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ว่า "ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่าย บอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้" ไม่รวมถึงข้อต่อสู้ในเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างของนายจ้างว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวอาจไม่ใช่เหตุตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ก็ได้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยจะยกเหตุว่าจำเลยจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีความบกพร่องหรือมีความผิดตามคำให้การของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ในการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไม่ได้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7402-7403/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าตอบแทนการทำงาน (ค่าน้ำมัน/โทรศัพท์) ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน การเลิกจ้างต้องมีเหตุสมควร
จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ให้แก่โจทก์ทั้งสองในลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน เป็นเงินเดือนละ 6,000 บาท เท่า ๆ กันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่าโจทก์ทั้งสองจะได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้จ่ายไปจำนวนมากน้อยเท่าใด และโจทก์ทั้งสองไม่ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถหรือใบเสร็จค่าโทรศัพท์เป็นหลักฐานในการรับเงินดังกล่าวด้วยเงินค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยเป็นนายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างระหว่างจำเลยและโจทก์ทั้งสองถือว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 5
แม้จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้ระบุเหตุผลของการเลิกจ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้าง ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯมาตรา 17 วรรคสามกำหนดว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างนายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้ก็ตามแต่ข้อห้ามดังกล่าวไม่รวมถึงข้อต่อสู้ในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วยเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา 49 นั้น ศาลจะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างของนายจ้างว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งอาจไม่ใช่เหตุตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119 ก็ได้ ศาลแรงงานกลางจึงต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองและจำเลยในส่วนนี้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238-7239/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นโทษต่อลูกจ้าง จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยมีคำสั่งยกเลิกตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายซึ่งโจทก์ทำงานอยู่และมีคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานในหน้าที่พนักงานขายทั้งให้ลดเงิน เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นโทษแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอม จำเลยย่อมไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวได้ตามลำพังเพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ไม่มีผลบังคับแก่โจทก์ การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนต่อคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยในกรณีร้ายแรง หรือโจทก์ละทิ้งหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238-7239/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นโทษโดยไม่ได้รับความยินยอม ไม่อาจเลิกจ้างได้
จำเลยประกอบกิจการขายเครื่องประดับเพชรพลอย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นลูกจ้างมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายมีอำนาจบังคับบัญชาและให้คำแนะนำแก่พนักงานขายซึ่งมีจำนวนประมาณ 150 คน จำเลยมีคำสั่งยกเลิกตำแหน่งผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายและมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองไปทำหน้าที่ในการขายและช่วยเหลือการขายของพนักงาน การที่จำเลยมีคำสั่งยกเลิกตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย ซึ่งโจทก์ทั้งสองทำงานในตำแหน่งดังกล่าวและมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองไปทำงานในหน้าที่พนักงานขายทั้งให้ลดเงินเดือนโจทก์ทั้งสอง เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นโทษแก่โจทก์ทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ให้ความยินยอม จำเลยย่อมไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวได้ตามลำพังเนื่องจากมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง คำสั่งของจำเลยที่ให้ยกเลิกตำแหน่งของโจทก์ทั้งสองและให้ไปทำงานในหน้าที่พนักงานขายจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามนัย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ไม่มีผลบังคับแก่โจทก์ทั้งสอง แม้โจทก์ทั้งสองไม่ยินยอมปฏิบัติตาม คำสั่งดังกล่าวก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนต่อคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยในกรณีร้ายแรง หรือโจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุดังกล่าวจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7187/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีมูลผูกพัน: การรับชำระดอกเบี้ยต่อเนื่องหลังเช็คปฏิเสธ ย่อมแสดงเจตนาไม่ผูกพันตามเช็ค
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งโดยโจทก์มอบหมายให้ จ. กระทำการแทนแต่ละครั้งจำเลยจะนำสัญญากู้มามอบให้ จ. และจำเลยจะนำเช็คมามอบให้เพื่อเป็นการชำระหนี้หลังจากวันทำสัญญากู้ แต่เช็คเหล่านั้นถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากนั้นจำเลยขอกู้เพิ่มจึงมีการทำสัญญากันใหม่โดยในการกู้ยืมแต่ละครั้งมีการชำระดอกเบี้ยมาแล้ว โดยจำเลยก็นำเงินสดมาชำระดอกเบี้ยในวันที่นำเช็คมาชำระหนี้เงินกู้เช่นเดียวกับครั้งเช็คพิพาท ซึ่งหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทแล้วจำเลยยังชำระดอกเบี้ยมาตลอด ดังนั้น การที่ จ. ไม่สนใจเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งได้ประพฤติเช่นนี้ตลอดมาหลายครั้งจนถึงเช็คพิพาทซึ่งหลังจากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็ยังยอมรับเงินค่าดอกเบี้ยจากจำเลยเรื่อยมา อีกทั้ง จ. ก็ทราบฐานะทางการเงินของจำเลยว่าขาดสภาพคล่อง และยังยอมรับเงินค่าดอกเบี้ยโดยไม่ดำเนินคดีกับผู้ออกเช็ค แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก่อนหน้านี้ จำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้กับโจทก์ในลักษณะเดิมที่ปฏิบัติต่อกันมา แสดงว่าโจทก์และจำเลยไม่มีความประสงค์จะให้ผูกพันกันตามเช็คพิพาท โดยโจทก์รับเช็คพิพาทไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้เท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7115/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องทางการค้า: การซื้อขายสินค้าเพื่อกิจการของลูกหนี้มีอายุความ 5 ปี
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการซื้อ ขาย สั่งเข้ามา และส่งออกไป รวมทั้งการซื้อขายในประเทศซึ่ง สินค้าทุกชนิด ซึ่งรวมทั้งเคมีภัณฑ์ทุกชนิด ส่วนจำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการจัดตั้งโรงงานผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ทุกชนิด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาแล้ว ทุกชนิดเพื่อจำหน่ายและเพื่อขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การที่จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ครั้งละมาก ๆ และเป็นเงินจำนวนมากแสดงว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ไปเพื่อผลิตสี น้ำมันวานิช แลคเกอร์ หมึกพิมพ์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจำหน่ายและเพื่อขาย มิใช้ซื้อไปเพื่อใช้เป็นการเฉพาะภายในบริษัทจำเลย กรณีย่อมตกอยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมมีกำหนด 5 ปี มิใช่ 2 ปี
ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ซึ่งเป็นการแปลกฎหมายคลาดเคลื่อน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7115/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องซื้อขายสินค้า: การซื้อเพื่อผลิตต่อเพื่อขาย ทำให้มีอายุความ 5 ปี
จำเลยประกอบกิจการโรงงานผลิตสี น้ำมันวานิชแลคเกอร์ หมึกพิมพ์ทุกชนิด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำหน่ายการที่จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ครั้งละมาก ๆ และเป็นเงินจำนวนมากแสดงว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ไปเพื่อผลิตสินค้าดังกล่าวเพื่อจำหน่ายและขาย มิใช่ซื้อไปเพื่อใช้เป็นการเฉพาะภายในบริษัทจำเลย กรณีย่อมตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1)ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง และอายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมมีกำหนด 5 ปี ตามมาตรา 193/33(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7084-7106/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงเวลาจ่ายค่าจ้างโดยไม่ยินยอมลูกจ้างเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่ชอบธรรม และการสอบถามสิทธิเป็นสิทธิลูกจ้าง
จำเลยมิได้จัดทำข้อตกลงสภาพการจ้างเกี่ยวกับกำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเป็นหนังสือ แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อถึงวันจ่ายค่าจ้างจำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลา 15 ถึง 17 นาฬิกา ตั้งแต่ปี 2533 ตลอดมาโดยลูกจ้างของจำเลยไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน จึงถือได้ว่ากำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา 15 ถึง 17 นาฬิกา เป็นสภาพการจ้างที่มีผลผูกพันจำเลยกับลูกจ้างของจำเลยทั้งหมดการที่จำเลยเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการจ่ายค่าจ้างมาเป็นระหว่างเวลา 12 ถึง 13 นาฬิกา ย่อมมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่าสภาพการจ้างเดิมจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง การเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการจ่ายค่าจ้างดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 20
การที่โจทก์ทั้งยี่สิบสามเข้าไปในห้องทำงานของผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายธุรการของจำเลยเพื่อสอบถามถึงการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างและขอใบอนุญาตผ่านออกจากอาคารที่โจทก์ทั้งยี่สิบสามทำงานไปเจรจากับฝ่ายการเงินที่อยู่ในอีกอาคารหนึ่งเพื่อให้จ่ายค่าจ้างในเวลาเดิมตามสภาพการจ้างที่ปฏิบัติกันมาย่อมเป็นสิทธิโดยชอบที่จะกระทำได้ มิใช่กรณีที่ลูกจ้างจะต้องร้องขอให้ศาลแรงงานพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 50 วรรคสอง แม้ขณะที่โจทก์ทั้งยี่สิบสามเข้าไปในห้องทำงานดังกล่าวจะเป็นเวลาการทำงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำด้วยสาเหตุดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรงหรือการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร
of 157