คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เดิมพัน จรรยามั่น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวน และการจ่ายรางวัลผู้แจ้งความนำจับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4,6,9,14,31,35 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4,11,48,73,74,74 ทวิ,74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 4,5,6,7,8,9 ริบของกลางจ่ายเงินสินบนแก่ผู้แจ้งความนำจับและจ่ายรางวัลแก่ผู้จับ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันทำไม้ประดู่ที่เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ซึ่งยกเลิกโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 และได้บัญญัติความแทนว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 14 ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาท ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ จำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันทำไม้ประดู่ที่เป็น ไม้หวงห้ามประเภท ก. ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้จำคุก คนละ 4 เดือน ต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายระวางโทษไว้จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้จ่ายรางวัล ร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางหรือค่าปรับ ไม่ใช่ร้อยละสิบห้าตามประกาศที่ลงในราชกิจจานุเบกษา เพราะประกาศดังกล่าวไม่สามารถจะแก้บทกฎหมายที่ตราไว้ได้ โดยโจทก์มีคำขอให้จ่ายรางวัลแก่ผู้นำจับ ซึ่งประกอบกับตามฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลสั่งจ่ายรางวัลเพียงร้อยละสิบห้า การที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ่ายรางวัลร้อยละสิบห้าของราคา เครื่องเลื่อยยนต์ของกลางจึงไม่ถูกต้อง และศาลอุทธรณ์ มิได้แก้ไขให้ถูกต้องจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษา แก้เป็นให้ จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาเครื่องเลื่อยยนต์ของกลาง ที่ศาลสั่งให้ริบตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และ 8

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ และแก้ไขโทษกรรมเดียว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่าการที่จำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่ หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตตาม ความหมายของคำว่าผลิตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4 และขอให้ลงโทษสถานเบา จำเลยไม่ได้ อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยไม่ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุ ใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย หรือไม่ จึงยุติไปแล้วจำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยได้แบ่งเมทแอมเฟตามีน บรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็น ความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกา ของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกับ เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจ ยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. กรณีจำเลยยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา และศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่าการที่จำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตตามความหมายของคำว่าผลิตตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 4 และขอให้ลงโทษสถานเบา จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยไม่ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายหรือไม่ จึงยุติไปแล้วจำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี: การพิสูจน์ผู้รับเงินสำคัญกว่าการใช้จ่ายจริง
โจทก์ พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับเงินตามสำเนาใบกำกับภาษีและบิลเงินสดพิพาท จึงต้องฟังว่ารายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (18) ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์นั้นเมื่อโจทก์มิได้ยกปัญหาดังกล่าวเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากร ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 29ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าใช้จ่ายต้องห้ามทางภาษี: การพิสูจน์ผู้รับเงินสำคัญต่อการหักลดหย่อน
โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับเงินตามสำเนาใบกำกับภาษีและบิลเงินสดพิพาท จึงต้องฟังว่ารายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายต้องห้ามตาม ป.รัษฎากรมาตรา 65 ตรี (18)
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ของให้ลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์นั้นเมื่อโจทก์มิได้ยกปัญหาดังกล่าวเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรกลางและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร มาตรา 29 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องคดีลักทรัพย์เนื่องจากพยานหลักฐานไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ฟ้อง และคำรับสารภาพขัดแย้งกับพยาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักไก่ชน 1 ตัว ของผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกเข้าไปลักไก่ชนในเล้าไก่ของผู้เสียหายและฟังไม่ได้ว่าไก่ชน 1 ตัว ที่พบในรถยนต์บรรทุกหกล้อเป็นของผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงตามที่ ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าว ในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลจึงต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องเนื่องจากข้อเท็จจริงในฟ้องไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในการพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักไก่ชน 1 ตัว ของผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกเข้าไปลักไก่ชนในเล้าไก่ของผู้เสียหาย และฟังไม่ได้ว่าไก่ชน 1 ตัว ที่พบในรถยนต์บรรทุกหกล้อเป็นของผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลจึงต้องยกฟ้องโจทก์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาชิงทรัพย์ต้องพิสูจน์ การทำร้ายร่างกายเป็นผลจากการกระทำอื่น
ขณะเกิดเหตุ ส. สวมเสื้อคอกระเช้าและประดับของมีค่าซึ่งสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและบนโต๊ะที่ ส. นั่งมีกระป๋องใส่เงินสดวางอยู่ จำเลยเข้าไปที่ ส. โดยไม่ได้พูดหรือแสดงอาการให้เห็นว่าจำเลยต้องการให้ ส. ส่งทรัพย์สินที่มีค่าให้จำเลย แล้วใช้อาวุธมีดปลายแหลมจ้วงแทง ส.ทันทีทำนองไม่พอใจส. ส. ใช้มือซ้ายรับอาวุธมีดที่จำเลยใช้แทงจนล้มลงจากเก้าอี้และร้องขอความช่วยเหลือจำเลย วิ่งหนีออกจากบ้านของ ส.ไปทันทีโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของส. แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของ ส. และใช้อาวุธมีดแทง ส.โดยไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์สินของส.แม้จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลก็ต้อง ฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาชิงทรัพย์ ส. การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส.เป็นเหตุให้ส. ได้รับอันตรายแก่กาย ย่อมเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 การกระทำความผิด ฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิด ฐานพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณประโยชน์: การพิจารณาจากสภาพทาง, การใช้ประโยชน์, และเจตนาอุทิศที่ดิน
การที่จะพิจารณาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่ ต้องพิจารณาตามสภาพของทางพิพาทและการใช้ทางพิพาทว่า เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 หรือไม่ประกอบกับเจตนาของผู้ที่อุทิศที่ดินให้ทำทางพิพาท ได้ความว่า ทางพิพาทเฉพาะส่วนที่ผ่านที่ดินจำเลยซึ่งโจทก์ทั้งสี่และจำเลย ได้ร่วมกันนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดมีความกว้าง 3 เมตร ยาว 24 เมตร และถนนดินที่ต่อจากทางพิพาทก็มีความกว้างใกล้เคียงกับทางพิพาทผ่านที่ดินแปลงอื่น ๆ อีกหลายแปลง ความกว้างของ ทางพิพาทดังกล่าวจึงไม่น่าจะใช้เฉพาะเป็นพนัง กั้นน้ำหรือ ใช้เป็นทางเดินผ่านเท่านั้น แต่น่าจะใช้สำหรับเป็นทางล้อเกวียนและใช้รถยนต์แล่นผ่านได้ด้วย ประกอบกับที่ดินจำเลยทางด้าน ทิศใต้จดถนนลูกรังสาธารณประโยชน์และถนนดินเริ่มต้นตั้งแต่ ถนนลูกรังสาธารณประโยชน์ดังกล่าวผ่านที่ดินจำเลย ที่ดินโจทก์ ทั้งสี่และที่ดินของบุคคลอื่นอีกหลายแปลงเข้าไปเป็นระยะทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร เชื่อได้ว่าถนนดินดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่และ ชาวบ้านทั่วไปได้ใช้เป็นทางเดิน ใช้ล้อเกวียนสำหรับลากขน สัมภาระในการทำนาและใช้รถยนต์แล่นผ่าน นอกจากนี้จำเลยเคย ลงชื่อมอบที่ดินบริเวณทางพิพาทให้ทางสุขาภิบาลคลองหลวง เพื่อทำถนนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมซึ่งมีพื้นผิวถนนกว้าง 2 วา แสดงว่าจำเลยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงใช้ถนนพิพาทเป็น พนัง กั้นน้ำหรือคันกั้นน้ำเข้านาข้าวเท่านั้น แต่ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยความ สมัครใจของจำเลย ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) จำเลยจึงไม่มีสิทธิ กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้ทางพิพาท ของโจทก์ทั้งสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โรงเรือนรุกล้ำที่ดิน: ภารจำยอมเฉพาะตัวโรงเรือน, รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอื่น, ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครไม่ผูกพันเจ้าของที่ดิน
การสร้างโรงเรือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 หมายถึงการสร้างบ้านสำหรับอยู่อาศัย ดังนั้นโรงรถ ท่อน้ำประปา ปั๊มน้ำ และแท็งก์น้ำจึงมิใช่โรงเรือนตามความหมายของบทบัญญัติมาตรานี้ และไม่ถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนด้วย แม้จำเลยจะสร้างหรือทำ โดยสุจริต ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง จำเลยต้องรื้อถอน ออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมให้จำเลยเฉพาะส่วนที่โรงเรือนของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โดยให้วัดเป็นแนวดิ่ง ตามแนวชายคาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยื่นล้ำออกจากตัวโรงเรือน ตั้งฉากกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองยาวตลอดแนวที่ปลูกสร้างรุกล้ำ นั้นเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจดทะเบียนภารจำยอมไว้ ชัดแจ้งแล้ว ไม่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจำเลยซึ่งจะต้องตกลงกันอีกแต่อย่างใด และตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น ย่อมหมายถึง ให้จดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมเฉพาะตัวโรงเรือนที่ รุกล้ำเท่านั้น ไม่มีผลให้บุคคลผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำ เข้าไปในที่ดินของผู้อื่นได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินของ ผู้อื่นอีก 2 เมตร โดยวัดจากตัวโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำเข้าไป แม้จะมีข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 74 กำหนดให้อาคารที่ปลูกในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่างประตูหรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างเขตที่ดินได้สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร ก็ตามก็เป็นคนละกรณีกัน
of 12