คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวลิต ยอดเณร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,015 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีครอบครองที่ดิน: ศาลต้องวินิจฉัยสิทธิครอบครองก่อนตัดสินความเป็นเจ้าของ
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย โดยที่ดินพิพาทเป็นเพียงที่ดินที่มีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองทำประโยชน์ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยได้นำชี้ทับกันอยู่จึงยังไม่แน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของฝ่ายใด ดังนั้น การวินิจฉัยว่า ผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงจำต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทการที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลย แล้วพิพากษาคดีไปตามที่พิจารณาได้ความ จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาทเป็นหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อเขตที่ดินตาม น.ส.3ก.ทับซ้อนกัน
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง โจทก์และจำเลยต่างนำชี้ทับกันยังไม่แน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือจำเลยดังนั้น การวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงจำต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นเครื่องแสดงหรือบ่งชี้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพราะผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดนั้นก็ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นได้ การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยแล้ว พิพากษาคดีไปตามที่พิจารณาได้ความ จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แผนฟื้นฟูกิจการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุจากรายการไม่ครบถ้วน ชำระหนี้ไม่เท่าเทียม และเจตนาทุจริต
คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนมีผลผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ในอันที่จะถูกปรับลด หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตลอดจนวิธีการในการชำระหนี้ ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/60 วรรคหนึ่ง คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนจึงมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียของเจ้าหนี้โดยตรง แม้ต่อมาจะมีการแก้ไขแผนโดยการแปลงหนี้เป็นทุนโดยออกหุ้นใหม่ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ก็หาใช่กรณีที่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนตามที่เรียกร้องไม่ สิทธิในการอุทธรณ์คัดค้านของเจ้าหนี้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้วจึงยังมีอยู่ ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ต่อไป
ที่มาตรา 90/58 บัญญัติว่า "ให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า (1)? (2)? (3)?" หมายความว่า เมื่อแผนมีลักษณะครบถ้วนตามมาตรา 90/58 (1) ถึง (3) ถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ให้ศาลมีดุลพินิจที่จะให้ความเห็นชอบด้วยแผนได้ หาได้หมายความว่าถ้าแผนมีลักษณะครบถ้วนดังกล่าวแล้ว ศาลจะต้องมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนทุกกรณีไป
การที่มาตรา 90/42 บัญญัติว่า ในแผนให้มีรายการต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย ไม่ได้หมายความเพียงว่า ให้ศาลพิจารณาดูรูปแบบว่ามีรายการแต่ละรายการหรือไม่ แต่ย่อมรวมถึงการพิจารณาว่ามีรายละเอียดของรายการดังกล่าวพอสมควรและถูกต้องหรือไม่ด้วย การที่แผนมิได้นำสิทธิเรียกร้องจำนวนมากมาระบุไว้ในแผน แผนมิได้ระบุกำหนดเวลาในการชำระหนี้ไว้ทั้งผู้บริหารแผนไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้บริหารแผนและค่าตอบแทนของผู้บริหารแผนนั้นสูงเกินสมควร ถือว่าแผนมีรายการไม่ครบถ้วน
การที่แผนกำหนดให้ลูกหนี้ไปพัฒนาที่ดินของเจ้าหนี้รายหนึ่งโดยไม่ได้กำหนดว่าลูกหนี้จะได้รับประโยชน์อย่างไร เมื่อลูกหนี้เข้าไปพัฒนาแล้วย่อมทำให้สิ่งปลูกสร้างเป็นส่วนควบของที่ดิน เจ้าหนี้รายดังกล่าวจึงได้รับประโยชน์มากกว่าเจ้าหนี้อื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน เป็นการขัดต่อมาตรา 90/58 (2) ประกอบมาตรา 90/42 ตรี
ในการพิจารณาว่า เมื่อดำเนินการตามแผนสำเร็จแล้ว เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ จะต้องนำรายละเอียดต่าง ๆ แห่งสินทรัพย์ หนี้สิน ตลอดจนภาระผูกพันต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณา คำว่า สินทรัพย์ นั้นย่อมรวมทั้งทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องด้วย เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องอยู่จำนวนมาก แผนจะต้องนำสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมาจัดบริหารเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าหนี้
การที่ลูกหนี้ได้ขายเงินลงทุน (หุ้น) ไปในราคาต่ำมากก่อนที่จะทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ผู้ทำแผนซึ่งมีกรรมการเป็นบุคคลเดียวกับบริษัทลูกหนี้มิได้เสนอแผนฟื้นฟูกิจการในแนวทางเดียวกับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ทั้งผู้ทำแผนมิได้ยืนยันความถูกต้องของรายการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กลับกำหนดไว้ในแผนว่าผู้ทำแผนไม่ขอรับผิดในความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการฉ้อฉล พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปในทางไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปลอมและใช้เช็คปลอมฉ้อโกงธนาคาร – พิจารณารอการลงโทษ – การริบของกลาง (บัตร ATM)
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเช็คของกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาแล้วนำเช็คปลอมดังกล่าวไปฉ้อโกงธนาคารผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับเงินไปถึง1,485,628.18 บาท นั้น ลักษณะความผิดเป็นเรื่องร้ายแรงและกระทบต่อความเชื่อถือระหว่างธนาคารซึ่งเป็นสถาบันการเงินและของประชาชนผู้สุจริตทั่วไปในการใช้เช็คนับเป็นการกระทำที่มุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้อื่นและสังคมส่วนรวม กรณีไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้
ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าบัตร เอ.ที.เอ็ม. เป็นทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด หรือเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33 แต่อย่างใด จึงไม่อาจริบบัตรดังกล่าวได้ ต้องคืนแก่เจ้าของ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ใช้เอกสารปลอมแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงาน ต้องลงโทษฐานหนักสุด
จำเลยปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารนั้นต่อพนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาเดียวกันเพื่อให้เจ้าพนักงานปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีอาญา จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์: การโอนที่ดินตามสิทธิเดิมชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่ จ. โดยให้ จ. ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา การที่ จ. ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ทั้งจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจให้แก่ จ. ไปดำเนินการโอนที่ดินก่อนศาลชั้นต้น มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จึงเป็นการที่ จ. ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้ว คงเหลือแต่เฉพาะหน้าที่ของจำเลยที่ต้องดำเนินการโอนที่ดินให้แก่ จ. ถือว่าเป็นสิทธิตามคำพิพากษาที่ จ. จะรับไปเพียงฝ่ายเดียว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ ตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือตามคำพิพากษาดังกล่าวอีก กรณีมิใช่สิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่พึงได้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะปฏิเสธไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิดังกล่าว เช่นนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา 22 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านไม่คัดค้านคำร้องขอให้ถอนการยึดในคดีแพ่งและมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการโอนที่ดินให้แก่ จ. ตามสิทธิที่ จ. มีอยู่ตามคำพิพากษาของศาลจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว และกรณีดังกล่าวนี้ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 145(1) ถึง (5) จึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายเดียวที่ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ไม่ถูกต้อง การฟ้องต้องรวมคู่ความทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
ก่อนฟ้องโจทก์ทราบอยู่แล้วว่า ส. กับธนาคารได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องกัน ผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องนอกจากจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินแล้วยังมี ส. และธนาคาร แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเท่านั้น และมิได้เรียก ส. และธนาคารเข้ามาเป็นคู่ความด้วย การที่โจทก์ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งการจดทะเบียนจำนองที่ดินอันเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดี จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์มิอาจฟ้องบังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ไม่รวมคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานที่ดิน และจำเลยที่ 2 กรมที่ดินให้เพิกถอนคำสั่งจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท โจทก์ทราบอยู่แล้วว่า ส. และธนาคาร ก. ได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวมาก่อน แต่โจทก์กลับฟ้องเพียงจำเลยทั้งสองเท่านั้น มิได้ฟ้องหรือเรียก ส. และธนาคาร ก. ผู้ทำนิติกรรมจำนองที่ดินเข้ามาเป็นคู่ความด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทจึงเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์มิอาจฟ้องบังคับได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2546 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนจำนองที่ดิน - อำนาจฟ้อง - บุคคลภายนอก - มาตรา 145 ป.วิ.พ.
โจทก์ฟ้องว่า ส. ไม่ยอมโอนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ตามข้อตกลง โจทก์จึงได้อายัดที่ดินตามฟ้องไว้และฟ้อง ส. ให้ปฏิบัติตามข้อตกลง ระหว่างคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จำเลยทั้งสองมีคำสั่งให้จดทะเบียนที่ดินดังกล่าวระหว่าง ส. กับธนาคาร ก. จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองนั้น ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทราบอยู่แล้วว่า ส. และธนาคาร ก. ได้ทำนิติกรรมจำนองเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องกัน ผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องนอกจากจำเลยทั้งสองแล้วยังมี ส. และธนาคาร ก. แต่โจทก์ฟ้องเพียงจำเลยทั้งสองเท่านั้น และมิได้ฟ้องหรือเรียก ส. และธนาคาร ก. ผู้ทำนิติกรรมจำนองที่ดินเข้ามาเป็นคู่ความด้วย การขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดี ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าว ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 27/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดีอาญาไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ และเหตุไม่รอการลงโทษจำคุกจากการผ่อนชำระหนี้น้อย
ประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 118 ห้ามมิให้รับฟังหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ปิดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐานเฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น มิได้ห้ามมิให้รับฟังในคดีอาญาด้วยการที่โจทก์ทั้งสี่ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยในคดีอาญานี้จึงไม่จำต้องปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใด จึงรับฟังหนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
มูลหนี้ตามเช็คพิพาทสืบเนื่องมาจากการซื้อขายที่ดิน ซึ่งถึงกำหนดชำระในปี 2540โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยปี 2541 ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสี่ให้โอกาสจำเลยผ่อนชำระมาไม่น้อยกว่า 2 ปี แต่จำเลยชำระให้เพียง 25,000 บาท และระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยชำระอีกเพียง 5,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับมูลหนี้ตามเช็ค400,000 บาท กับระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีเพื่อให้จำเลยผ่อนชำระนับว่าเป็นจำนวนน้อยมาก แสดงว่าจำเลยมิได้ขวนขวายเต็มความสามารถ ทั้งไม่ได้แสดงความตั้งใจจะหาช่องทางชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
of 202