พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,015 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5835/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
น้ำหนักพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา vs. ชั้นสอบสวน: การพิสูจน์ความผิดทางอาญา
แม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายที่ 2 ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตาม แต่ได้ความจากคำเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหายที่ 2 ว่า ตอนไปดูตัวคนร้าย เจ้าพนักงานตำรวจพาคนร้ายออกมาคนเดียวและให้ผู้เสียหายที่ 2 ชี้ตัว เจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าคนนี้แหละที่แทงผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ แต่ก็ได้ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าเป็นคนร้ายและเบิกความต่อไปอีกว่า ผู้เสียหายที่ 2 เห็นจำเลยแล้วคลับคล้ายคลับคลา แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าใช่ผู้เสียหายที่ 2 ก็บอกว่าใช่ด้วยเมื่อคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนเช่นนี้ หากพฤติการณ์แห่งคดียังไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานเบิกความบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยแล้ว คำเบิกความในชั้นพิจารณาย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังมากกว่าเพราะคำเบิกความชั้นสอบสวนหาได้ผ่านกระบวนการถามค้านแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลดจากล้มละลายต้องพิจารณาพฤติการณ์ผู้ล้มละลาย ความผิดพลาดในการบริหารงาน และความสุจริตในการจัดการทรัพย์สิน
แม้หนี้ของเจ้าหนี้ทั้งหลายที่มีต่อจำเลยจะเป็นหนี้การค้าของบริษัท อ. จำกัด ที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน แต่จำเลยมีฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าว ย่อมเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการบริหารงาน จำเลยย่อมต้องทราบดีถึงศักยภาพในการประกอบธุรกิจของบริษัท การที่บริษัทประกอบการค้าขายขาดทุนจนไม่สามารถชำระหนี้จำนวนมากแก่เจ้าหนี้ได้ ย่อมเป็นเพราะความผิดพลาดหรือประมาทขาดความรอบคอบของจำเลยเอง หลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วประมาณ 9 ปี จำเลยจึงไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลยและให้การในชั้นไต่สวนเปิดเผยต่อศาล อันเป็นระยะเวลาก่อนจำเลยยื่นคำร้องขอปลดจากล้มละลายเพียงเล็กน้อยส่อให้เห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อหวังประโยชน์ของตนในการขอปลดจากล้มละลายโดยแท้ยิ่งกว่าประโยชน์ในการรวบรวมจัดการทรัพย์สิน นับได้ว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยจากล้มละลาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5596/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความในคดีล้มละลาย: การฟ้องร้องและการขอรับชำระหนี้จากคำพิพากษาถึงที่สุด
การที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการนำเอาสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่มาใช้บังคับแก่ลูกหนี้ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในเรื่องอายุความตาม ป.พ.พ.บรรพ 1 ลักษณะ 6
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2529 ให้ลูกหนี้กับพวกร่วมกันชำระเงินแก่เจ้าหนี้ สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีต่อลูกหนี้จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามป.พ.พ.มาตรา 193/32 เจ้าหนี้นำเอาหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องได้ และมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามป.พ.พ.มาตรา 193/14 (2) และทำให้ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้น ไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคหนึ่ง ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดไปแล้วตามมาตรา 193/15 วรรคสอง เมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความยังสะดุดหยุดลงจึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 (1)กรณีนี้มิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จึงนำเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 มาปรับใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้สำหรับมูลหนี้ตามคำพิพากษาเพียงใด แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว สมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน
เจ้าหนี้ฎีกาเฉพาะมูลหนี้ตามคำพิพากษา จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลฎีกาเพียง 25 บาท ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (2) วรรคท้าย
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2529 ให้ลูกหนี้กับพวกร่วมกันชำระเงินแก่เจ้าหนี้ สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีต่อลูกหนี้จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามป.พ.พ.มาตรา 193/32 เจ้าหนี้นำเอาหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องได้ และมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามป.พ.พ.มาตรา 193/14 (2) และทำให้ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้น ไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคหนึ่ง ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดไปแล้วตามมาตรา 193/15 วรรคสอง เมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความยังสะดุดหยุดลงจึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 (1)กรณีนี้มิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จึงนำเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 มาปรับใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้สำหรับมูลหนี้ตามคำพิพากษาเพียงใด แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว สมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน
เจ้าหนี้ฎีกาเฉพาะมูลหนี้ตามคำพิพากษา จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลฎีกาเพียง 25 บาท ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (2) วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5596/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ตามคำพิพากษาและการฟ้องล้มละลาย: ผลกระทบต่อการขอรับชำระหนี้
สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี เจ้าหนี้นำเอาหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายในขณะที่ยังไม่พ้นกำหนด10 ปี เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องได้และมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่ง อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดไปแล้ว เมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความยังสะดุดหยุดลง จึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ กรณีมิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีแพ่ง จึงนำเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี มาปรับใช้แก่กรณีนี้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวในคดีล้มละลาย โจทก์ต้องพิสูจน์การไม่มีทรัพย์สินของจำเลย
แม้จำเลยที่ 1 จะเปลี่ยนชื่อตัว แต่ยังคงอยู่ในบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้าน โดยมิได้ย้ายที่อยู่แต่อย่างใด ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หลบหนี ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นเจ้าพนักงานตำรวจต้องย้ายที่อยู่ไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิใช่เป็นการหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่แต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์คงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ทราบภูมิลำเนาที่แน่นอนของจำเลยทั้งสามและไม่สามารถที่จะสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4731/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูกิจการและการขยายเวลาการยื่นคำขอรับชำระหนี้ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการนั้นเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 90/79 ทั้งไม่ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือตามมาตรา 90/79(4)ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4731/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการต้องห้ามตามกฎหมาย
ผู้ร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลล้มละลายกลางว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นการคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว และการที่ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนดก็เพราะเจ็บป่วย อันเป็นเหตุสุดวิสัยจึงขอให้ขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้น เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/79ทั้งไม่ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือตามมาตรา 90/79(4) ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4731/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลล้มละลายเกี่ยวกับการขยายเวลาการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้
คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการนั้น เป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการ การอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/79 ทั้งไม่ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือตามมาตรา 90/79 (4) ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมายและจำหน่ายยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) โดยมีเจตนาเพื่อขาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนพกออโตเมติก บราวนิ่งขนาด .32 (7.65 มม.) เครื่องหมายเลขประจำปืนถูกขูดลูบแก้ไขไม่อาจยืนยันได้ว่าเลขหมายเดิมคืออะไร 1 กระบอก และมีซองบรรจุกระสุน 1 ซอง กระสุนปืนขนาดเดียวกัน 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 2 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน ตามถนน ซึ่งเป็นทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิแต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม ป.อ.มาตรา 371 ด้วย ศาลจะยกมาตราดังกล่าวมาปรับบทลงโทษไม่ได้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอก เมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอก เมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อขาย และการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยที่ 1 เข้าสู่การกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนพกออโตเมติกบราวนิ่งขนาด .32(7.65 มม.) เครื่องหมายเลขประจำปืนถูกขูดลูบแก้ไขไม่อาจยืนยันได้ว่าเลขหมายเดิมคืออะไร 1 กระบอก และมีซองบรรจุกระสุน 1 ซอง กระสุนปืนขนาดเดียวกัน 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 2 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้าน ตามถนน ซึ่งเป็นทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ,72 และ 72 ทวิแต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ด้วย ศาลจะยกมาตราดังกล่าวมาปรับบทลงโทษไม่ได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน 5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอกเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน 5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอกเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต