คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดลจรัส รัตนโศภิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3974/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม-ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยที่ดินนอกโฉนดชอบแล้ว
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงที่ตั้งที่ดินพิพาท ที่ดินส่วนที่ให้จำเลยอาศัยวันที่จำเลยทำรั้วล้อมรอบปิดกั้นทางเดินเข้าออก แม้ไม่ระบุถึงอาณาเขตที่ดินพิพาทเป็นอย่างไร ถึงไหน จดที่ดินของใคร กว้างยาวเท่าใด ก็สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
คดีนี้แม้จะมีการทำแผนที่พิพาท และคู่ความแถลงรับกันว่าที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวาอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ ที่ดินเนื้อที่ 28 ตารางวา อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์แต่โจทก์ฟ้องที่ดินพิพาททั้ง 2 ส่วนรวมกันมาเป็น 59 ตารางวา ประเด็นพิพาทที่ศาลกำหนดมีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลย เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์เพียง 28 ตารางวา เท่านั้น ส่วนที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา อยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากเขตที่ดินของโจทก์ ทั้งให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วยเท่ากับยกฟ้องในที่ดินส่วนเนื้อที่ 31 ตารางวา ที่จำเลยนำชี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้วินิจฉัยถึงที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา ซึ่งอยู่นอกเขตของโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3472/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้เดิมเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญากู้ยืม และความรับผิดของทายาทผู้รับมรดก
โจทก์ประกอบกิจการค้าขายเครื่องอุปโภคและบริโภค รวมทั้งให้ยืมเงินแก่ ผ. จำเลยและลูกค้าของโจทก์รายอื่น ๆ อีกหลายรายที่ประกอบอาชีพทำนาที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องอุปโภคบริโภคโดยโจทก์ให้เครดิตสินเชื่อสินค้าและเงินยืมของแก่ลูกค้า มีบัญชีบันทึกหนี้สินกันไว้เป็นหลักฐานโดยโจทก์หวังผลประโยชน์ตอบแทนปรากฏว่า ผ. ยังค้างชำระหนี้อยู่จึงยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยกับยอดหนี้ดังกล่าวเป็นต้นเงินในปีต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นผลประโยชน์ตอบแทนในทางการค้าไม่ใช่การคิดดอกเบี้ย
ผ. ยอมทำสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์เป็นการแปลงหนี้เดิมที่ค้างชำระกันอยู่มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน หนี้เดิมย่อมระงับสิ้นไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม ผ. ไม่ยอมชำระหนี้จึงตกเป็นผิดนัดต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อ ผ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะภริยาของ ผ. และจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ผ. จึงต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามมาตรา 1599 ประกอบด้วยมาตรา 1629,1635(1) และมาตรา 1737

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3472/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้เดิมเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญากู้ยืม และความรับผิดของทายาทต่อหนี้
โจทก์ประกอบกิจการค้าขายเครื่องอุปโภคและบริโภค รวมทั้งให้ยืมเงินแก่ ผ. จำเลย และลูกค้าของโจทก์รายอื่น ๆ อีกหลายรายที่ประกอบอาชีพทำนาที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องอุปโภคบริโภคโดยโจทก์ให้เครดิตสินเชื่อสินค้าและเงินยืมของโจทก์ให้แก่ลูกค้ามีบัญชีบันทึกหนี้สินกันไว้เป็นหลักฐานโดยโจทก์หวังผลประโยชน์ตอบแทน ปรากฏว่าผ. ยังค้างชำระหนี้อยู่จึงยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยกับยอดหนี้ดังกล่าวเป็นต้นเงินในปีต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นผลประโยชน์ตอบแทนในทางการค้าไม่ใช่การคิดดอกเบี้ย
ผ. ยอมทำสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้เดิมที่ค้างชำระกันอยู่มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน หนี้เดิมย่อมระงับสิ้นไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม ผ. ไม่ยอมชำระเงินกู้ยืมให้แก่โจทก์ จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อ ผ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ผ. และจำเลยที่ 2ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ผ. จึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 ประกอบด้วยมาตรา 1629,1635(1) และมาตรา 1737

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2793/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยผิดสัญญาและเบี้ยปรับ: ศาลลดเบี้ยปรับได้หากสูงเกินสมควร, หนี้จำนองคิดดอกเบี้ยตามหนี้ประธาน
แม้โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จำกัด จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากผู้กู้ได้ในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชนฯ และตามประกาศของบริษัทโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อขณะทำสัญญากู้เงิน โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และต่อมาได้ทำสัญญากู้เพิ่มกำหนดดอกเบี้ยใหม่เป็นอัตราร้อยละ 12.5ต่อปี แม้จะมีข้อตกลงต่อไปว่า ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ถูกต้องจำเลยยอมให้โจทก์เรียกให้ชำระหนี้ทั้งหมดและคิดดอกเบี้ยในเงินต้นที่ค้างชำระในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เดิมจึงเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383
หนี้จำนองเป็นเพียงหนี้อุปกรณ์ซึ่งจะต้องมีหนี้ประธานเสียก่อน การบังคับจำนองจึงจะกระทำได้ เมื่อหนี้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานกำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่าใดหนี้จำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์จึงคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงเท่าดอกเบี้ยที่โจทก์คิดไว้จากหนี้ตามสัญญากู้เงินอันเป็นหนี้ประธาน ซึ่งตามสัญญากู้เงินเพิ่มเติมครั้งที่ 1จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพิ่มอีก โดยระบุว่าจำเลยยอมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี จึงเป็นข้อตกลงตามเจตนาของคู่สัญญา อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงมิใช่เบี้ยปรับ แม้จำเลยผิดสัญญาโจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นลดเบี้ยปรับจากอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ลงโดยกำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยก่อนที่จำเลยผิดนัดมีผลเป็นการงดเบี้ยปรับโดยสิ้นเชิงจึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2673/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็ก, อนาจาร, และพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร พิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนา
คำว่า "พราก" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก หมายความว่าพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล จะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องใช้กำลังหรืออุบาย ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยซึ่งมีอาชีพขับรถรับส่งนักเรียนจะพาผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อร่วมประเวณีในเส้นทางหรือนอกเส้นทางรับส่งผู้เสียหายไปกลับจากโรงเรียนก็ย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2673/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็ก, กระทำอนาจาร, และพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารจากผู้กระทำผิดซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
จำเลยมีอาชีพขับรถรับส่งเด็กนักเรียน ขณะที่เด็กหญิงผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำเลยทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มือลูบคลำที่อวัยวะสืบพันธุ์และจับหน้าอกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก
ขณะที่จำเลยขับรถพาผู้เสียหายและเด็กนักเรียนอื่นกลับบ้านได้แวะที่อาคารหลังหนึ่งให้เด็กนักเรียนอื่นลงไปซื้อขนม ผู้เสียหายจะลงไปด้วย แต่จำเลยไม่ให้ลงโดยบอกให้ผู้เสียหายฝากคนอื่นไปซื้อขนมแทนแล้วจำเลยนำตัวผู้เสียหายให้นอนราบกับเบาะ ใช้มือกดตัวผู้เสียหายไม่ให้ลุกขึ้น แล้วได้กระทำชำเราผู้เสียหาย หลังจากครั้งนี้แล้วจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอีกหลายครั้ง จนกระทั่งผู้เสียหายเรียนจบถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยนอกจากกระทำชำเราในรถซึ่งแวะจอดที่อาคารดังกล่าวแล้วจำเลยยังพาผู้เสียหายเข้าไปในบ้านร้างแถวสุขุมวิทแล้วกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาตนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก คำว่า "พราก" หมายความว่า พาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล จะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องใช้กำลังหรืออุบาย ดังนั้นไม่ว่าการพาไปเพื่อร่วมประเวณีจะอยู่ในเส้นทางหรือนอกเส้นทางรับส่งผู้เสียหายไปกลับจากโรงเรียนก็ย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอน น.ส.3ก. ที่ออกโดยไม่ชอบ และอายุความการฟ้องละเมิดจากการครอบครองที่ดิน
จำเลยนำที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ไปขอออก น.ส. 3 ก. โดยไม่ชอบ ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนได้ ตาม ป. ที่ดิน มาตรา 61 และโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. ในส่วนที่ออกโดยไม่ชอบได้เพราะตราบใดที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการละเมิด ยังมีอยู่ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนน.ส.3ก. กรณีครอบครองโดยไม่ชอบและอายุความฟ้องร้อง
จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน การที่จำเลยนำที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จึงไม่ชอบ ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และตราบใดที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการละเมิดยังมีอยู่ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาบุกรุก-พยายามลักทรัพย์: พฤติการณ์นั่งพัก-จับแฮนด์รถไม่พอฟัง
คืนเกิดเหตุอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จำเลยที่ 3 เมาสุราแล้วอาเจียนจำเลยที่ 1จอดรถให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลง แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 พากันเข้าไปนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านผู้เสียหายซึ่งประตูรั้วบ้านเปิดอยู่ พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นการถือวิสาสะ เพราะความมึนเมาสุราและไม่สามารถบังคับจิตใจตนเองได้ เมื่อนั่งอยู่ประมาณ 5 นาที อาจจะด้วยความคึกคะนอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงลุกขึ้นและเดินไปเอามือจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ โดยยังไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำการใดอันมีลักษณะที่จะติดเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ และไม่ปรากฏว่าพบเครื่องมือใด ๆ ในตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน และลงมือกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2และที่ 3 กระทำความผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าไฟฟ้า: ไม่ใช่เงินทดรอง แต่เป็นค่าชำระตามสัญญาใช้ไฟฟ้า
โจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ไฟฟ้าจากมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าของโจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระค่าไฟฟ้าตามจำนวนที่การไฟฟ้านครหลวงเรียกเก็บจากมิเตอร์ดังกล่าว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้านครหลวงโดยตรง เมื่อจำเลยขออนุญาตใช้ไฟฟ้าจากมิเตอร์ดังกล่าว จึงตกลงชำระค่าไฟฟ้าตามมิเตอร์ดังกล่าวแทนโจทก์แม้จำเลยไม่ชำระโจทก์ก็ต้องชำระอยู่แล้ว จึงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ออกเงินค่าไฟฟ้าแทนจำเลยอันเป็นเงินทดรองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)กรณีดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าไฟฟ้าไป
of 20