คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดลจรัส รัตนโศภิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าไฟฟ้า: ไม่ใช่เงินทดรอง แต่เป็นค่าชำระตามสัญญาใช้ไฟฟ้า
โจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ไฟฟ้าจากมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าของโจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระค่าไฟฟ้าตามจำนวนที่การไฟฟ้านครหลวงเรียกเก็บจากมิเตอร์ดังกล่าว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้านครหลวงโดยตรง เมื่อจำเลยขออนุญาตใช้ไฟฟ้าจากมิเตอร์ดังกล่าว จึงตกลงชำระค่าไฟฟ้าตามมิเตอร์ดังกล่าวแทนโจทก์แม้จำเลยไม่ชำระโจทก์ก็ต้องชำระอยู่แล้ว จึงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ออกเงินค่าไฟฟ้าแทนจำเลยอันเป็นเงินทดรองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)กรณีดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าไฟฟ้าไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียมศาล: พฤติการณ์พิเศษต้องมีเหตุผลที่สมควรและนอกเหนือจากความยากลำบากทางการเงินทั่วไป
การที่จำเลยอ้างว่า เงินค่าธรรมเนียมศาลมีจำนวนสูงมาก ไม่สามารถหาเงินได้ทันได้ติดต่อขอกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นไว้แล้ว แต่มีเหตุขัดข้องผู้ให้กู้ไม่สามารถนำเงินมาให้แก่จำเลยในขณะนี้ได้นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีพฤติการณ์พิเศษตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินขัดแย้งกับสิทธิภารจำยอม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่ใช้วางท่อระบายน้ำทิ้งเป็นที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งโดยเจตนาจะให้ได้ภารจำยอม ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความในการใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาเรื่องภาระจำยอมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น หากฎีกาในประเด็นใหม่ถือว่าเป็นการขัดต่อข้อจำกัดการฎีกา
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่ใช้วางท่อระบายน้ำทิ้งเป็นที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นการ ต่อสู้กรรมสิทธิ์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ใช้ที่ดินตรงที่วางท่อระบายน้ำทิ้งโดยเจตนาจะให้ได้ภาระจำยอม ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนรับชำระหนี้ ตัวการมีผูกพันต่อบุคคลภายนอก และหน้าที่ส่งมอบเอกสารการจดทะเบียน
เมื่อโจทก์ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่ ส. ตัวแทนของจำเลยแล้ว จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอัน ส. ตัวแทนได้ทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวการแล้วตามกฎหมาย แม้ ส. จะยังไม่ได้ส่งมอบเงินค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลยก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยซึ่งเป็นตัวการจะไปว่ากล่าวไล่เบี้ยเอาจาก ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของตนโจทก์จึงไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องจัดส่งเอกสารให้แก่โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้นำไปใช้ประกอบในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าโดยเจตนา: ศาลฎีกาแก้ไขโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยเดินทางมาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อฟังการพิจารณาคดี โดยเก็บอาวุธปืนไว้ในรถยนต์ จำเลยกับผู้ตายมีเรื่องขึ้นโรงศาลหลายครั้งหลายหน แต่จำเลยไม่ได้ตระเตรียมหรือไตร่ตรองไว้ก่อนว่าจะมาดักฆ่าผู้ตายที่บริเวณที่เกิดเหตุในที่ชุมนุมชนกลางใจเมืองในกรุงเทพมหานคร ยังไม่พอฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) คงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยเจตนาตามมาตรา 288 มิได้เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขและลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบมาตรา 185 วรรคสอง มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดบนที่ดินพิพาท: แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องสิทธิในที่ดิน การกระทำที่ทำให้เสียหายถือเป็นการละเมิด
แม้โจทก์มีข้อโต้แย้งกับทางราชการเป็นคดีฟ้องร้องกันอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันอาจถูกเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่การที่จำเลยใช้ให้คนนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันที่ดินพิพาทแล้วจุดไฟเผาต้นไม้ต่าง ๆ ที่โจทก์ปลูกไว้เสียหาย แม้จะอ้างว่ากระทำไปโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาว่าจ้างให้จำเลยก่อสร้างสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ของหน่วยราชการ แต่ก็เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและทรัพย์สินของโจทก์โดยไม่มีอำนาจที่จะทำได้ตามกฎหมายเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน: แม้ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ แต่การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหายก็เป็นละเมิดได้
ในคดีก่อนแม้จะยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันอาจถูกเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ ก็ตาม แต่การที่จำเลยใช้ให้คนนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันที่ดินพิพาทแล้วจุดไฟเผาต้นไม้ต่าง ๆ ที่โจทก์ปลูกไว้จนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากแม้จะอ้างว่ากระทำไปโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาว่าจ้างก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและทรัพย์สินของโจทก์บนที่ดินพิพาทโดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามกฎหมายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ เมื่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์เพื่อแบ่งทรัพย์สินของผู้มีสิทธิร่วมกัน มิใช่การบังคับคดีตามปกติ ผู้ไม่มีส่วนได้เสียยื่นขอปล่อยทรัพย์ไม่ได้
การที่โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วนมิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากแต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2546 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีแบ่งทรัพย์สิน: การยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง สิทธิของผู้ร้องขอปล่อยทรัพย์
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ทั้งสามและจำเลยเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ ดังกล่าวร่วมกัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม เนื้อที่ 2 ไร่ 47 ตารางวา หากจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินแบ่งกันตามส่วนจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกและการแบ่งแยกไม่อาจกระทำได้ โจทก์ทั้งสามจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคดีที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินแบ่งกันตามส่วน การยึดทรัพย์ในกรณีนี้มิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากแต่เป็น การร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยผู้เป็นเจ้าของรวมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง ฉะนั้น ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288
of 20