คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,912 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9515/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรในทะเลสาบ: ศาลมีอำนาจสั่งรื้อถอนได้ แม้ไม่มีคำสั่งเจ้าท่า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารเป็นสะพานทางเดินล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำในน้ำของทะเลสาบสงขลาอันเป็นทางสัญจรของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 117 , 118 และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทะเลสาบสงขลา ดังนี้ ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่า เจ้าท่ามีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็ตาม เพราะ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 118 ทวิ ที่แก้ไข เป็นการกำหนดวิธีการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่ปลูกสร้างขึ้นโดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าท่าเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตามฟ้อง เมื่อฟังได้ว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรของประชาชน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117 ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาในคดีอาญาคดีนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสัญจรดังกล่าวออกไปจากทะเลสาบสงขลาได้ตามมาตรา 118 ทวิ วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8875/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารหลักฐานในคดี: สิทธิในการขอคืนเอกสารของโจทก์และการโต้แย้งกรรมสิทธิ์
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 เป็นเอกสารที่โจทก์อ้างและนำส่งต่อศาลแรงงานเพื่อเป็นพยานหลักฐานในคดี จึงต้องสันนิษฐานว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ หากโจทก์ขอรับเอกสารดังกล่าวคืน ศาลแรงงานก็ชอบที่จะสั่งอนุญาตคืนให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 แก่โจทก์ ส่วนข้อที่จำเลยโต้แย้งว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เอกสารดังกล่าว ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นคดีต่างหากต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8875/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารหลักฐานในคดี: สิทธิในการรับคืนเอกสารของโจทก์เมื่อศาลรับไว้พิจารณา และการพิสูจน์กรรมสิทธิ์ในคดีอื่น
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 เป็นเอกสารที่โจทก์อ้างและนำส่งต่อศาลแรงงานเพื่อเป็นพยานหลักฐานในคดี จึงต้องสันนิษฐานว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ หากโจทก์ขอรับเอกสารดังกล่าวคืนศาลแรงงานก็ชอบที่จะสั่งอนุญาตคืนให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 แก่โจทก์ ส่วนข้อที่จำเลยโต้แย้งว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เอกสารดังกล่าว ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นคดีต่างหากต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8746/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การช่วยเหลือคนต่างด้าวผิดกฎหมายและการจ้างงาน
ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่งบัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดคือ ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม คดีนี้ตามคำฟ้องข้อ (ก) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า ช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายด้วยการให้เข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยเท่านั้น มิได้มีการช่วยอย่างอื่นอีก ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521ตามคำฟ้องข้อ (ข) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า รับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในร้านอาหารของจำเลย จะเห็นได้ว่า การที่จำเลยรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยโดยคนต่างด้าวนั้นไม่มีใบอนุญาตทำงาน เป็นการกระทำที่จำเลยมีเจตนาในผลการกระทำเป็นอย่างเดียวกันคือรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน แม้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาเดียวกัน จึงถือว่าเป็นกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8746/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดหลายบท: ช่วยคนต่างด้าวและรับทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต
ความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64วรรคหนึ่ง บัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดคือ ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม คดีนี้ตามคำฟ้องข้อ (ก) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า ช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายด้วยการให้เข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยเท่านั้น มิได้มีการช่วยอย่างอื่นอีก ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 ตามคำฟ้องข้อ (ข) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า รับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในร้านอาหารของจำเลย จะเห็นได้ว่า การที่จำเลยรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยโดยคนต่างด้าวนั้นไม่มีใบอนุญาตทำงาน เป็นการกระทำที่จำเลยมีเจตนาในผลการกระทำเป็นอย่างเดียวกันคือรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน แม้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาเดียวกัน จึงต้องถือว่าเป็นกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7646/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณค่าจ้างค้างจ่ายรายวันจากอัตราจ้างรายเดือน โดยอ้างอิงอัตรา 30 วันต่อเดือน ตามกฎหมาย
โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างจนถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 แต่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 จึงขาดไป โจทก์ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนซึ่ง ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน มิได้กำหนดให้นับเป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/6 วรรคท้าย ให้ถือว่า เดือนหนึ่งมี 30 วัน
โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 37,500 บาท หารด้วย 30 เป็นค่าจ้างวันละ 1,250 บาท แต่เนื่องจาก ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ 56,250 บาท ซึ่งเท่ากับให้จำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่ายตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 จำเลยจึงต้องชำระค่าจ้างเพิ่มอีก 2 วัน คิดเป็นเงิน 2,500 บาท แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ แต่คำฟ้องโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2540 มาด้วยแล้ว จึงเห็นสมควรให้จำเลยจ่ายค่าจ้างส่วนนี้ให้โจทก์ด้วย
of 292