คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิบูลย์ มีอาสา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 354 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4847/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเนื่องจากไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียม ศาลฎีกายกคำอุทธรณ์และฎีกา
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพฤติการณ์ตามคำร้องยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย แล้วมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป เป็นกรณีที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 แต่จำเลยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเสร็จสิ้นเมื่อส่งมอบการครอบครองที่ดิน แม้มีการรบกวนภายหลังเป็นเหตุการณ์ใหม่
แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะสามารถแบ่งคำบังคับออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่จะต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ กับส่วนที่ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ข้อสำคัญในคำบังคับนั้นอยู่ที่ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโดยการส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์เท่านั้น ส่วนที่มิให้จำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์อีกนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบังคับให้จำเลยทั้งสามส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว แสดงให้เห็นแน่ชัดว่าฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ออกจากที่ดินตามคำพิพากษาไม่ได้รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว การที่โจทก์ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวก เข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทนี้อีกภายหลังที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่การบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลง ถือเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ โจทก์ชอบที่จะไปดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4817/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้เสียหายต้องมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายอื่นหรือเป็นผู้เสียหายเอง มิฉะนั้นขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์ซึ่งได้รับอันตรายสาหัสฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291,300 และ 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4)และ 157 แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายอื่นที่เป็นผู้เยาว์หรือเป็นผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือสามีผู้เสียหายอื่นซึ่งถึงแก่ความตาย หรือได้รับอันตรายสาหัส หรือได้รับอันตรายแก่กาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเหล่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(1) และ (2) โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 และ 390 ซึ่งบุคคลอื่นเป็นผู้เสียหาย และโดยที่โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) และ 157 เพราะความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อรัฐ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดตามมาตรา 43(4) และ 157 ด้วย ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และ 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) และ 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีส่วนขับรถยนต์โดยประมาทโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้อง เมื่อโจทก์เป็นผู้เสียหายเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้มีส่วนประมาท เป็นอุทธรณ์โต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์และพิพากษามานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อโจทก์ฎีกาเช่นเดียวกับที่โจทก์อุทธรณ์อีก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แม้จะมีผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ก็ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งจะอนุญาตให้ฎีกาได้เฉพาะในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา 218,219 และ 220 เท่านั้น มิได้ให้อนุญาตให้ฎีกาในกรณีดังกล่าวได้ โจทก์ย่อมไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4817/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้เสียหายโดยนิตินัย vs. ผู้มีอำนาจจัดการแทน & การอุทธรณ์/ฎีกาที่ขัดต่อกฎหมาย
ผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีอาญาต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) หรือต้องเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์ขับ ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส และบุคคลอื่นหลายคนซึ่งโดยสารมาในรถยนต์ที่โจทก์ขับถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กาย และขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 และ 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา 43(4) และ 157 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายอื่นที่เป็นผู้เยาว์ หรือเป็นผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือสามีผู้เสียหายอื่นซึ่งถึงแก่ความตาย หรือได้รับอันตรายสาหัส หรือได้รับอันตรายแก่กาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเหล่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 และ 390 ซึ่งบุคคลอื่นเป็นผู้เสียหาย และโดยที่โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ เพราะความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นความผิดต่อรัฐ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรฯ ด้วย
คดีที่ต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับอุทธรณ์ของโจทก์และพิพากษามานั้นเป็นการไม่ชอบ เมื่อโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่โจทก์อุทธรณ์อีก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 แม้โจทก์จะยื่นฎีกาโดยมีผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาก็ตาม แต่การอนุญาตดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งผู้พิพากษาดังกล่าวจะอนุญาตให้ฎีกาได้เฉพาะในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 และ 220 เท่านั้น มิได้ให้ผู้พิพากษานั้นอนุญาตให้ฎีกาในกรณีดังกล่าวได้ โจทก์ย่อมไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและพิพากษามานั้น เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันว่าด้วยอุทธรณ์ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4768/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามส่งออกโคคาอีนและการใช้กฎหมายยาเสพติดที่แก้ไขใหม่
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยนั้น จำเลยได้กลืนโคคาอีนลงไปในกระเพาะอาหารของจำเลยแล้ว และจำเลยมีตั๋วโดยสารเครื่องบินเรียบร้อยพร้อมที่จะขึ้นเครื่องบินซึ่งใกล้จะถึงเวลาที่จะบินออกจากท่าอากาศยานกรุงเทพ ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในฐานส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งโคคาอีนแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะเจ้าพนักงานตรวจพบการกระทำความผิดและจับกุมจำเลยได้เสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเข้าขั้นพยายามตาม ป.อ. มาตรา 80 อันเป็นความผิดฐานพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งโคคาอีนแล้ว
ความผิดฐานมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมนั้น พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดกำหนดโทษจำคุกและปรับ แต่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดกำหนดโทษจำคุกหรือปรับ ฉะนั้นเมื่อกฎหมายที่แก้ไขใหม่อาจลงโทษปรับเพียงสถานเดียว จึงเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด ต้องบังคับใช้ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่แก่จำเลย
ความผิดฐานส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งโคคาอีนนั้น โทษจำคุกตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีอัตราโทษเท่ากัน แต่โทษปรับตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่หนักกว่ากฎหมายเดิม กฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องบังคับใช้ตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4686/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวิวาทและการป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงเหตุบันดาลโทสะที่ไม่สามารถอ้างได้
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับครอบครัวจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรง ต่อมาผู้ตายได้มาโต้เถียงกับจำเลยเป็นเวลานาน จำเลยย่อมจะมีความโกรธเคืองผู้ตายเป็นอย่างมากถึงกับมีการท้าทายให้ไปตกลงกันที่ฟากคลองฝั่งตรงกันข้าม และจำเลยได้ถือมีดปลายแหลมขนาดใหญ่ออกเดินนำหน้าไปก่อนอันถือได้ว่าจำเลยได้สมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้ตาย เป็นการเข้าสู้ภัยโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้ตายถือจอบขนาดใหญ่เดินตามจำเลยและได้ทำร้ายจำเลยก่อนก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้ตายเอง จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น-พยายามฆ่า-มีจิตบกพร่อง-การปรับบทลงโทษ-ความผิดอาวุธปืน
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 6 ถึง 7 เดือน จำเลยเคยมีอาการผิดปกติทางจิตและเคยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และตามคำเบิกความของแพทย์หญิง ก. พยานจำเลยกับใบรับรองแพทย์ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นโรคจิตประเภทชนิดหวาดระแวงประกอบกับรายงานการวินิจฉัยโรคของโรงพยาบาลนิติจิตเวชซึ่งระบุเช่นกันว่าป่วยเป็นโรคจิต จึงเชื่อว่าจำเลยกระทำไปเพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต แต่ข้อเท็จจริงได้ความอีกว่า ขณะเกิดเหตุ อ. อยู่ใกล้กับจำเลยและเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยด้วย แต่จำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงหรือทำร้าย อ. แต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าภาวะจิตใจของจำเลยขณะกระทำความผิดยังสามารถรู้สึกผิดชอบหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องปรับบทลงโทษจำเลยประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปด้วย การปรับบทลงโทษแม้คู่ความจะมิได้ฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษความผิดหลายกรรมต่อเนื่องจากจิตบกพร่อง และความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน
ขณะกระทำความผิดจำเลยมีจิตบกพร่องแต่ยังสามารถรู้สึกผิดชอบหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยได้กระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องปรับบทลงโทษจำเลยประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 65 วรรคสอง ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เพียงเป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นประกอบ ป.อ. มาตรา 65 วรรคสอง จึงไม่ถูกต้อง การปรับบทลงโทษแม้คู่ความจะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่า และพกพาอาวุธปืน โดยประเด็นสำคัญคือการวินิจฉัยภาวะจิตของผู้กระทำผิด
จำเลยซึ่งเป็นคนวิกลจริตกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฐานพยายามฆ่าผู้อื่นฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องปรับบทลงโทษจำเลยประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4491/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคดีแพ่ง: การคำนวณจากมูลหนี้ที่เกี่ยวข้องกัน และการคิดค่าขึ้นศาลสูงสุด
การคำนวณค่าขึ้นศาลจะต้องพิจารณาจากคำฟ้องแต่ละคดีเป็นเกณฑ์ และในคดีที่คำฟ้องมีหลายข้อหา หากทุนทรัพย์แต่ละข้อหาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน สามารถแยกจากกันได้โดยชัดแจ้ง โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามมูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชี กู้เงิน และขายลดตั๋วเงินรวมเป็นเงิน 30,490,930.10 บาท แม้แยกได้หลายข้อหา แต่หนี้ทั้งหมดจำเลยที่ 2 ได้นำห้องชุดจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน และจำเลยที่ 3 กับที่ 4 ได้ผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกัน มิได้แบ่งแยกเพื่อการประกันหนี้ประเภทใดรายการใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงมีความเกี่ยวข้องกัน การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก) จึงชอบแล้ว
of 36