พบผลลัพธ์ทั้งหมด 354 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4432/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีขับไล่ที่ดิน: เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนส่งมอบการครอบครอง
ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นที่ดินที่มีการปลูกต้นยูคาลิปตัสไว้เท่านั้นไม่มีต้นไม้อื่นหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จำเลยและบริวารจะต้องอยู่ครอบครองตลอดเวลา เมื่อทำการปลูกต้นยูคาลิปตัสเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่ที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดี ตามรายงานที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่พบจำเลยหรือบุคคลใดอยู่ในที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีควรจะต้องสอบถามจำเลยหรือกระทำการอย่างใด ๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแน่นอน การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรับฟังคำแถลงของผู้แทนโจทก์ซึ่งแถลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นชั่วขณะต่อหน้าแล้วด่วนชี้ขาดว่าทรัพย์ที่ต้องจัดการตามคำพิพากษานั้นไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยจึงมอบการครอบครองทรัพย์นั้นให้แก่โจทก์ในทันทีไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งจะให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีผลบังคับเด็ดขาดให้เสร็จสิ้นไป และตามรายงานเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไปยึดทรัพย์จำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้บันทึกว่า "จำเลยได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วยว่าตนยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท" อันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ตลอดเวลาจำเลยและบริวารมิได้ย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทนี้เลย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบันทึกมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการมีคำสั่งโดยผิดหลงในข้อเท็จจริง คดีจึงต้องฟังว่า จำเลยและบริวารยังมิได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตามคำพิพากษา ตราบใดที่จำเลยและบริวารยังอยู่บนที่ดินของโจทก์ ยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ย่อมขอบังคับคดีได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดแม้โจทก์จะเคยร้องขอบังคับคดีมาแล้วไม่เป็นผลก็ขอให้บังคับคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4282/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์: พฤติการณ์พิเศษไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย
การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษาไว้ล่วงหน้าวันก่อนครบกำหนดอุทธรณ์และเพิ่งมาทราบผลคำพิพากษาโดยย่อหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว 1 เดือน ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษที่อ้างเพื่อขอให้ศาลขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้เท่านั้น แต่มิใช่เหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่สามารถมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แม้ฎีกาของจำเลยจะเป็นสาระแก่คดีแต่ก็ไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4278/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผิดสัญญาไม่สามารถก่อสร้างอาคารได้ตามกำหนด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกดอกเบี้ย
การที่จำเลยคืนเช็คที่โจทก์ชำระค่างวดตามสัญญาแก่โจทก์ ทั้งที่โจทก์ยืนยันว่ามีเงินจ่ายตามเช็ค ก็เพราะเหตุที่จำเลยไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ระยะเวลาการก่อสร้างจึงต้องตกอยู่ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 24 เดือน นับแต่วันทำสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยโดยไม่จำต้องกำหนดเวลาให้จำเลยอีก จำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับไว้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่เวลาที่รับไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4025/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับจากวันที่รู้การละเมิดและตัวผู้กระทำ
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2532 และวันที่ 9 ตุลาคม2533 ตามลำดับ โจทก์ทราบมาโดยตลอดว่า ผู้กระทำละเมิดในครั้งนี้คือจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 จึงต้องถือว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินและแผงค้าตามฟ้องที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 24 เมษายน 2539 เกิน 1 ปี แล้วเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4025/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดจากการไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและแผงค้า
โจทก์ฟ้องว่า การที่จำเลยไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและแผงค้าของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของโจทก์ได้ ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ดังนั้นเมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและแผงค้าที่เช่าของโจทก์ในวันที่ 26 เมษายน 2532 และวันที่ 9 ตุลาคม 2533 แต่จำเลยเพิกเฉยอันถือได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยตลอดมา อีกทั้งโจทก์ก็ทราบว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 จึงต้องถือว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินและแผงค้าที่เกิดก่อนวันที่ 24 เมษายน 2539 เกิน 1 ปี แล้วเป็นอันขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4025/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การนับอายุความเริ่มจากวันที่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิด
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2532 และวันที่ 9 ตุลาคม 2533 ตามลำดับ โจทก์ทราบมาโดยตลอดว่า ผู้กระทำละเมิดในครั้งนี้คือจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 จึงต้องถือว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินและแผงค้าตามฟ้องที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 24 เมษายน 2539 เกิน 1 ปี แล้วเป็นอันขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3193/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์เกินความจำเป็นในการบังคับคดี การพิจารณาความเหมาะสมระหว่างราคาทรัพย์สินที่ยึดกับจำนวนหนี้
โจทก์เคยบริหารกิจการของจำเลยมานับแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลย ย่อมทราบว่าจำเลยมีเครื่องจักรขนาดใหญ่อยู่หลายเครื่องรวมทั้งราคาของเครื่องจักรดังกล่าวด้วยโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยเพียงไม่กี่แสนบาท จึงน่าจะมุ่งยึดเครื่องจักรที่มีราคาใกล้เคียงกับจำนวนหนี้ ประกอบกับจำเลยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับหนี้จำนองที่จำเลยมีต่อธนาคารอื่นทั้ง ก. ซึ่งมีที่ดินที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์หลายแปลงก็เต็มใจให้โจทก์นำไปหักชำระหนี้ได้โดยที่โจทก์ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ อีกด้วย จึงเห็นได้ว่า โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 284 วรรคหนึ่ง และโจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามมาตรา 284 วรรคสอง โดยคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดแต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีของจำเลยตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3064/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องร้องเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ยังมิได้ถูกบังคับคดี
การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าจำเลยยื่นฟ้องขับไล่ ส. และจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ให้โจทก์ในฐานะบริวารของ ส. ออกจากที่พิพาท เมื่อโจทก์เห็นว่าตนมิใช่บริวารของ ส. แต่เป็นเจ้าของครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมานานแล้ว แสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามกฎหมายแพ่งอันเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาทแล้ว โจทก์มีสิทธิเสนอคดีของตนต่อศาลโดยยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ได้ แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะปิดประกาศกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3)ในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ ส. ออกจากที่พิพาทก็ตาม เพราะบทบัญญัติดังกล่าวแม้หากบุคคลนั้นไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นเพียงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหาได้มีผลเป็นการตัดสิทธิห้ามบุคคลนั้นจะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ไม่ และเมื่อโจทก์มิได้ร้องขอเข้าไปในคดีที่จำเลยบังคับขับไล่ ส. โจทก์จึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีนั้นย่อมไม่ผูกพันในผลแห่งคดีดังกล่าวหรือจะถูกต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหลังศาลมีคำสั่งริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด การยื่นคำร้องพ้นกำหนดทำให้ขาดสิทธิ
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 30 วรรคสอง กำหนดให้บุคคลที่อ้างเป็นเจ้าของต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ไม่ว่าในคดีนั้นจะปรากฏตัวบุคคลซึ่งอาจเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าของหรือไม่ก็ตาม การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งริบรถยนต์ตามคำร้องของโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้วจึงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ทั้งตามมาตรา 30 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัตินี้ ยังบัญญัติห้ามมิให้นำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 มาใช้บังคับด้วย ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุว่าไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดมาขอคืนรถยนต์ที่ศาลริบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง และประเด็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
การกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นความผิดที่เกิดขึ้นและมีอยู่ต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา นับตั้งแต่เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ยึดถือเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจนกระทั่งขนเคลื่อนย้ายไป คดีนี้ปรากฏว่าคนร้ายซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองมาจ้างจำเลยให้ขับรถยนต์ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง โดยจำเลยรู้จักคนร้ายเป็นอย่างดีและรู้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1,000 เม็ด คนร้ายจะนำไปจำหน่ายที่จังหวัดเชียงใหม่ การที่จำเลยรับจ้างขับรถยนต์เพื่อส่งคนร้ายโดยมียาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือความปกครองดูแลของจำเลยด้วยถือว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง เมื่อจำเลยกับคนร้ายกระทำร่วมกันเพื่อให้บรรลุตามความประสงค์โดยการกระทำแต่ละขั้นตอนเป็นสาระสำคัญก่อให้เกิดเป็นความผิดขึ้น การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นตัวการมิใช่เป็นผู้สนับสนุน
การที่จำเลยขับรถยนต์มาถึงด่านตรวจ เจ้าพนักงานตำรวจให้สัญญาณหยุดรถเพื่อขอตรวจค้น จำเลยไม่ยอมหยุดและขับรถเลยไปจนต้องมีการไล่ติดตามเพื่อสกัดจับและจำเลยดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมนั้น เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
การที่จำเลยขับรถยนต์มาถึงด่านตรวจ เจ้าพนักงานตำรวจให้สัญญาณหยุดรถเพื่อขอตรวจค้น จำเลยไม่ยอมหยุดและขับรถเลยไปจนต้องมีการไล่ติดตามเพื่อสกัดจับและจำเลยดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมนั้น เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่