คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 315

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 82 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3930/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่า ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่จำเลย ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าว่า นับแต่โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าตลอดจนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าแล้วจำเลยได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม2533 เป็นต้นมา อันหมายความว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่านับจากเดือนกรกฎาคม 2533 ตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ในระหว่างเวลา ดังกล่าวแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยมิได้นำเงินค่าเช่า ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2534 เป็นต้นมา ก็ต้องถือว่ายังอยู่ในข้อกล่าวหาของโจทก์อยู่นั่นเองส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับวันผิดนัดจริงหากยังอยู่ในระหว่างเวลาที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องแล้วย่อมถือไม่ได้ว่า เป็นเรื่องนอกฟ้อง จำเลยนำค่าเช่าไปชำระให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ กรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลย ตกเป็นผู้ผิดนัด ดังนั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นคดีนี้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิ โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ในคดีแพ่ง ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำและการชำระหนี้ค่าเช่าที่ภูมิลำเนาเจ้าหนี้
คดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องสัญญาเช่าตึกแถวและที่ดินพิพาทยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาเช่า จำเลยยังมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารและที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่า กรณีจึงเป็นเรื่องที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ตามนัยแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 55 โดยที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง การที่จะเป็นกรณีฟ้องซ้ำต้องห้าม จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้วินิจฉัยข้อหาในประเด็นแห่งคดีแล้วโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นการฟ้องภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด และมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยินยอมออกเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาทและผู้ใช้สิทธิครอบครองตึกแถว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 มิใช่เป็นเรื่องรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทและสิทธิการเช่าตึกแถวจาก ส.แล้วโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ และตามสัญญาเช่ามิได้กำหนดว่าจะชำระค่าเช่ากันที่ใด จำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ การที่จำเลยนำค่าเช่าไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ ทั้งมิใช่การชำระหนี้ ณภูมิลำเนาของเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 315 ประกอบมาตรา 324 จำเลยจะให้โจทก์ไปรับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, สิทธิเช่า, การชำระหนี้ ณ ภูมิลำเนาเจ้าหนี้, สัญญาเช่าสิ้นสุด, การโอนสิทธิ
คดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องสัญญาเช่าตึกแถวและที่ดินพิพาทยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาเช่า จำเลยยังมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารและที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่า กรณีจึงเป็นเรื่องที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โดยที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง การที่จะเป็นกรณีฟ้องซ้ำต้องห้าม จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้วินิจฉัยข้อหาในประเด็นแห่งคดีแล้วโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นการฟ้องภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด และมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยินยอมออกเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาทและผู้ใช้สิทธิครอบครองตึกแถว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55มิใช่เป็นเรื่องรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทและสิทธิการเช่าตึกแถวจาก ส.แล้วโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ และตามสัญญาเช่ามิได้กำหนดว่าจะชำระค่าเช่ากันที่ใดจำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์การที่จำเลยนำค่าเช่าไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ ทั้งมิใช่การชำระหนี้ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315ประกอบมาตรา 324 จำเลยจะให้โจทก์ไปรับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6839/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีไม่ถือเป็นการชำระหนี้ด้วยความสมัครใจ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แม้ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยจะได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นหาได้ชำระหนี้ด้วยความสมัครใจไม่ ดังนั้นคู่ความฝ่ายใดจะต้องรับผิดต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรในชั้นที่สุดจึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาและการชำระหนี้ตามหมายบังคับคดี: ผลกระทบต่อความรับผิดชอบของคู่ความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ แม้ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยจะได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น หาได้ชำระหนี้ด้วยความสมัครใจไม่ ดังนั้นคู่ความฝ่ายใดจะต้องรับผิดต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรในชั้นที่สุดจึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้แทนโจทก์โดยตัวแทนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง: การชำระหนี้โดยชอบ
โจทก์ได้ยินยอมให้นายแช่มเป็นตัวแทนของโจทก์ในการควบคุมการก่อสร้าง รวมตลอดถึงรับเงินค่าจ้างได้ด้วย ดังนี้ การที่จำเลยชำระเงินค่าก่อสร้างให้แก่นายแช่ม จึงเป็นการชำระให้แก่ผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนโจทก์ ถึงแม้จำเลยจะชำระเงินค่าก่อสร้างบางส่วนให้แก่ บ. ช. และ อ. แต่เนื่องจาก บ.เป็นภริยาของนายแช่ม ช.เป็นน้องชายของนายแช่ม และ อ.เป็นผู้ร่วมทำการก่อสร้างกับนายแช่ม ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทักท้วงการกระทำดังกล่าวของจำเลย กรณีจึงถือได้ว่า บุคคลดังกล่าวกระทำการรับชำระหนี้ร่วมกับนายแช่มแทนโจทก์ เป็นการชำระหนี้โดยชอบเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้โดยตัวแทนและการรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ แม้มีการชำระให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวแทนโดยตรง หากเจ้าหนี้ทราบและไม่ทักท้วง ถือเป็นการชำระหนี้โดยชอบ
โจทก์ได้ยินยอมให้นายแช่มเป็นตัวแทนของโจทก์ในการควบคุมการก่อสร้าง รวมตลอดถึงรับเงินค่าจ้างได้ด้วยดังนี้ การที่จำเลยชำระเงินค่าก่อสร้างให้แก่นายแช่ม จึงเป็นการชำระให้แก่ผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนโจทก์ ถึงแม้จำเลย จะชำระเงินค่าก่อสร้างบางส่วนให้แก่ บ. ช.และอ.แต่เนื่องจากจาก บ.เป็นภริยาของนายแช่มช. เป็นน้องชายของนายแช่มและอ.เป็นผู้ร่วมทำการก่อสร้างกับนายแช่มทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทักท้วงการกระทำดังกล่าวของจำเลยกรณีจึงถือได้ว่า บุคคลดังกล่าวกระทำการรับชำระหนี้ร่วมกับนายแช่มแทนโจทก์ เป็นการชำระหนี้โดยชอบเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความกับหนี้เดียวกัน แม้ระบุชื่อบริษัทต่างกัน
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วมีใจความว่า จำเลยและหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.เป็นหนี้ค่าอาหารสัตว์กับบริษัท จ. โจทก์ขอรับผิดชดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ไม่เกินวงเงิน1,550,000 บาท หากบริษัทบังคับให้จำเลยชำระหนี้แล้ว โจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวก็ยอมให้จำเลยบังคับคดีได้ทันที โดยไม่ได้ระบุถึงหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัท ก.จำกัดก็ตาม แต่เมื่อบริษัท ก.เป็นบริษัทในเครือของบริษัท จ.ค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน มีที่อยู่ที่เดียวกับบริษัท จ.มีกรรมการบริหารชุดเดียวกันและตามใบกำกับสินค้าแต่ละฉบับก็เป็นแบบพิมพ์เหมือนกันซึ่งมีทั้งออกในนามทั้งสองบริษัท แต่มีระบุว่าให้สั่งจ่ายเงินค่าสินค้าในนามบริษัท ก.เท่านั้น หนี้สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าเป็นหนี้บริษัท จ. ก็คือหนี้รายเดียวกันกับที่จำเลยชำระให้บริษัท ก. นั่นเอง เมื่อจำเลยชำระหนี้แก่บริษัท ก. แล้ว โจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยครึ่งหนึ่งตามข้อประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยได้ทวงถามโจทก์แล้ว โจทก์เพิกเฉย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัด ผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยชอบจะใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันโจทก์ต้องรับผิดชอบหนี้ร่วมกับจำเลยตามสัดส่วน แม้ข้อตกลงระบุเฉพาะเจ้านี้
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วมีใจความว่าจำเลยและหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดล. เป็นหนี้ค่าอาหารสัตว์กับบริษัทจ. โจทก์ขอรับผิดชดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งทั้งนี้ไม่เกินวงเงิน1,550,000บาทหากบริษัทบังคับให้จำเลยชำระหนี้แล้วโจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวก็ยอมให้จำเลยบังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ได้ระบุถึงหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัทก. จำกัดก็ตามแต่เมื่อบริษัทก.เป็นบริษัทในเครือของบริษัทจ. ค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันมีที่อยู่ที่เดียวกับบริษัทจ. มีกรรมการบริหารชุดเดียวกันและตามใบกำกับสินค้าแต่ละฉบับก็เป็นแบบพิมพ์เหมือนกันซึ่งมีทั้งออกในนามทั้งสองบริษัทแต่มีระบุว่าให้สั่งจ่ายเงินค่าสินค้าในนามบริษัทก. เท่านั้นหนี้สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าเป็นหนี้บริษัทจ. ก็คือหนี้รายเดียวกันกับที่จำเลยชำระให้บริษัทก. นั่นเองเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่บริษัทก. แล้วโจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยครึ่งหนึ่งตามข้อประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยได้ทวงถามโจทก์แล้วโจทก์เพิกเฉยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยชอบจะใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7313/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่ผู้รับสิทธิเรียกร้องก่อนล้มละลาย ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ล้มละลาย
ก่อนที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดคดีที่ ส.ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยฟ้องผู้ร้องยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ซึ่ง ส. เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยได้ขอหมายเรียกจำเลยมาในคดีนั้นแล้ว แต่จำเลยมิได้เข้ามาในคดี ดังนั้นส. จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากผู้ร้องเท่าจำนวนที่ผู้ร้องลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่จำเลยนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234,235 แล้ว และไม่มีหนี้ในส่วนนี้ที่ ส. จะนำไปใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายได้อีก เมื่อคดีแพ่งดังกล่าวได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้ผู้ร้องชำระหนี้แก่ ส.ส. จึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้อง ซึ่งอาจบังคับเอาแก่ผู้ร้องได้ตามกฎหมาย เมื่อผู้ร้องได้ชำระหนี้แก่ ส. ไปตามคำพิพากษาแล้วจึงเป็นการชำระหนี้ที่ได้ทำให้บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315 การชำระหนี้ดังกล่าวหาใช่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 ไม่ ผู้ร้องจึงไม่ได้เป็นหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยอีกต่อไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวนดังกล่าวซ้ำอีก
of 9