พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,425 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างและการพักงาน: ศาลพิพากษาเกินคำขอในส่วนค่ารักษาพยาบาล
ระเบียบจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพ.ศ.2521ตอนที่2ข้อ16มีว่าให้งดจ่ายเงินเดือนพนักงานระหว่างที่ถูกสอบสวนและข้อ16.3มีว่าถ้าได้ความเป็นสัตย์จริงและพนักงานถูกลงโทษถึงเลิกจ้างมิให้จ่ายเงินเดือนตลอดเวลาที่ถูกสั่งพักงานข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนและจำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์ตั้งแต่วันที่12เมษายน2536และเมื่อวันที่19พฤศจิกายน2536ผลการสอบสวนปรากฎว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่12เมษายน2536อันเป็นวันแรกที่พักงานได้โดยไม่จำต้องเลิกจ้างล่วงหน้าหรือบอกกล่าวล่วงหน้าแต่อย่างใดระเบียบจำเลยดังกล่าวข้อ16และข้อ16.3ใช้บังคับได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างถูกสั่งพักงานดังกล่าว ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในค้าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างระหว่างถูกพักงานกับค่าทนายความที่จำเลยอ้างว่าออกให้โจทก์ซึ่งไม่เป็นความจริงและมีคำขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว5รายการให้แก่โจทก์ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างและมีคำขอเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลรวมอยู่ด้วยเพิ่งจะกล่าวถึงค่ารักษาพยาบาลก็ต่อเมื่อศาลแรงงานนัดสอบข้อเท็จจริงโจทก์โดยในวันเวลาดังกล่าวโจทก์จำเลยได้แถลงสละข้ออ้างและข้อต่อสู้สำหรับประเด็นอื่นทั้งหมดคงติดใจเฉพาะที่โจทก์เรียกร้องเกี่ยวกับเงินค่าทนายความค่าเครื่องแต่งกายค่าเบี้ยเลี้ยงประจำวันค่ารักษาพยาบาลและค่าจ้างระหว่างถูกพักงานดังนั้นค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มาแถลงเพิ่มเติมในภายหลังโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องหรือมีคำขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยคืนค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ขอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา52
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต้องมีเหตุสมควร แม้มีข้อตกลงบอกเลิกจ้างได้ การฟ้องค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่เคลือบคลุม
แม้ตามสัญญาจ้างระบุว่าการว่าจ้างอาจจะถูกบอกเลิกได้โดยการที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนหรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนเท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าก็ตามแต่การบอกเลิกจ้างดังกล่าวก็จะต้องมีเหตุอันสมควรมิฉะนั้นจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา49ได้จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายเงินเดือนให้โจทก์หนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วแต่ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างการเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้โจทก์ฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจะไม่ได้ระบุว่าเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างไว้โดยตรงก็ตามแต่เมื่ออ่านคำฟ้องที่บรรยายประกอบกันก็เข้าใจได้ว่าเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ไม่ได้หยุดพักผ่อนประจำปีตามสิทธิในวันที่ยังเหลืออยู่14วันและโจทก์มาฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแทนในวันดังกล่าวฟ้องโจทก์จึงเข้าใจได้ว่าเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับปีที่เลิกจ้างโจทก์ซึ่งยังมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลืออยู่14วันนั่นเองฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงไม่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจของศาลแรงงานที่ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวและสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบเพราะจำเลยไม่นำพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างต้องมีเหตุสมควร แม้มีข้อตกลงบอกเลิกจ้างโดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ศาลแรงงานพิจารณาค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนและไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัว
แม้ตามสัญญาจ้างระบุว่า การว่าจ้างอาจจะถูกบอกเลิกได้โดยการที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือน หรือจ่ายค่าสินไหมเท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าก็ตาม แต่การบอกเลิกจ้างดังกล่าวก็จะต้องมีเหตุอันสมควร มิฉะนั้นจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49ได้ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายเงินเดือนให้โจทก์หนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้าง การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจะต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์
แม้ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจะไม่ได้ระบุว่าเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างไว้โดยตรงก็ตาม แต่เมื่ออ่านคำฟ้องที่บรรยายประกอบกันก็เข้าใจได้ว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ไม่ได้หยุดพักผ่อนประจำปีตามสิทธิในวันที่ยังเหลืออยู่ 14 วันและโจทก์มาฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแทนในวันดังกล่าวฟ้องโจทก์จึงเข้าใจได้ว่าเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับปีที่เลิกจ้างโจทก์ ซึ่งยังมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลืออยู่ 14 วัน นั่นเองฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงไม่เคลือบคลุม
อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจของศาลแรงงานที่ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวและสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบเพราะจำเลยไม่นำพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
แม้ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจะไม่ได้ระบุว่าเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างไว้โดยตรงก็ตาม แต่เมื่ออ่านคำฟ้องที่บรรยายประกอบกันก็เข้าใจได้ว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ไม่ได้หยุดพักผ่อนประจำปีตามสิทธิในวันที่ยังเหลืออยู่ 14 วันและโจทก์มาฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแทนในวันดังกล่าวฟ้องโจทก์จึงเข้าใจได้ว่าเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับปีที่เลิกจ้างโจทก์ ซึ่งยังมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลืออยู่ 14 วัน นั่นเองฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงไม่เคลือบคลุม
อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจของศาลแรงงานที่ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวและสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบเพราะจำเลยไม่นำพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 450/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทที่ยุติตามที่ศาลแรงงานกลางกำหนดแล้วไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์อีกได้ และการฟ้องเรียกเงินยืมทดรองจ่ายตามสัญญาจ้าง
ในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนั้นทนายจำเลยได้มาศาลและลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้โดยมิได้ติดใจโต้แย้งในขณะนั้นหรือในระยะเวลาต่อมาตามที่กฎหมายกำหนดขอให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเพิ่มเติมแต่ประการใดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางกำหนดจำเลยไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ว่ากล่าวอีกและปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าพ.เป็นเพียงพนักงานของโจทก์มิใช่กรรมการดำเนินการของโจทก์ที่จะมีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏในคำให้การของจำเลยจึงไม่อาจตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีได้ดังนี้ปัญหาที่จำเลยอาศัยอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องต่อไปอีกว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นจึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฟ้องโจทก์ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยในฐานะลูกจ้างได้ยืมเงินทดรองจ่ายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานของนายจ้างคือโจทก์แม้หักใช้ไม่ครบก็เป็นการเรียกหนี้เงินที่จำเลยยืมไปคืนตามความผูกพันซึ่งเกิดจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยอันมีกำหนดอายุความ10ปีฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมและมิใช่เรื่องละเมิดหรือลาภมิควรได้คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์นอกประเด็นในคดีแรงงาน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย หากจำเลยไม่ได้ยกประเด็นการฝ่าฝืนข้อบังคับร้ายแรงในศาลล่าง
จำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์ประพฤติทุจริตเกี่ยวกับการเติมน้ำมันรถยนต์จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์มิได้ให้การว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงแต่อย่างใดการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงจึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีการที่จำเลยอุทธรณ์ว่าตามระเบียบการเติมน้ำมันของจำเลยระบุให้เติมน้ำมันรถให้ผู้ถือบิลน้ำมันเลขทะเบียนรถยนต์ตรงกับเลขทะเบียนรถยนต์ที่มาเติมทุกครั้งและการแก้ไขจำนวนเงินในบิลน้ำมันจะต้องไม่เกินจำนวนที่เขียนไว้ในบิลน้ำมันการที่โจทก์ไม่ยึดถือระเบียบข้อบังคับคำสั่งและวิธีปฎิบัติของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงนั้นเป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลแรงงานกลางไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคแรกประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ศาลแรงงานกลางรับอุทธรณ์จำเลยเป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการงดสืบพยาน อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา104ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีให้เป็นไปตามนั้นซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา31ฉะนั้นการที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานแล้วข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิจารณาเพียงบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานนอกคำให้การในคดีแรงงาน การอุทธรณ์ต้องยกประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว
จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือจะต้องกล่าวข้อเท็จจริงเป็นข้อต่อสู้ให้ชัดแจ้งในคำให้การแต่ได้ระบุถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างเพียงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่มิได้อ้างเหตุแห่งการปฎิเสธว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ในเรื่องใดอย่างไรการที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ไม่ตอกบัตรลงเวลากลับจากทำงานโจทก์ขาดงานในวันที่17มิถุนายน2538โจทก์ขาดงานครึ่งวันในวันที่27เดือนเดียวกันวันที่13,18,25,29กรกฎาคม2538โจทก์เข้ามาทำงานช่วงเช่าช่วงบ่ายกลับไปโดยไม่ได้ตอกบัตรลงเวลานอกจากนี้ยังยื่นใบลาป่วยไม่ตรงกับความจริงถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานนอกคำให้การแม้ศาลแรงงานกลางรับวินิจฉัยมาก็นอกประเด็นการที่จำเลยอุทธรณ์โดยอ้างเหตุดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอพิจารณาใหม่ต้องแจ้งเหตุล่าช้าโดยละเอียดและชัดเจน หากไม่แจ้งเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถยื่นภายในกำหนด ศาลอาจไม่รับคำขอ
คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ณภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่29พฤษภาคม2538จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่26กันยายน2538จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา15วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้วแม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี2529แล้วก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ทราบดีโดยจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด15วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้วแต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใดจึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด15วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ได้ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีอื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่คำบังคับ: กำหนดเวลา 15 วัน และเหตุสุดวิสัย
คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่ 29 พฤษภาคม 2538 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 26กันยายน 2538 จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี 2529 แล้วก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ทราบดี โดยจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้ อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้ว แต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใด จึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31 ได้ ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณียื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้น ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอพิจารณาใหม่ต้องทำภายใน 15 วัน หรือแจ้งเหตุสุดวิสัยพร้อมระบุวันที่สิ้นสุดเหตุ เพื่อให้เริ่มต้นนับระยะเวลาได้
คดีนี้พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ณภูมิลำเนาของจำเลยตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่29พฤษภาคม2538จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่26กันยายน2538จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา15วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208แม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี2529แล้วจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด15วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้วแต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อใดจึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด15วันตามมาตรา208ได้ถือได้ว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณียื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น