คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 31

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,425 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การหลังวันชี้สองสถานต้องเป็นเรื่องแก้ไขข้อบกพร่องเล็กน้อย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้ใหม่
การที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การโดยยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ เป็นข้อแก้ข้อหาเดิม เปลี่ยนแปลงข้ออ้าง ข้อเถียงเพื่อสนับสนุน ข้อหา หรือเพื่อหักล้างข้อหาของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179(3) และไม่ใช่กรณีแก้ไขข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดเล็กน้อย ในรายละเอียด ทั้งเรื่องดังกล่าวมิใช่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชนด้วยแล้ว จำเลยจะต้องขอแก้ไขเสียก่อนวันชี้สองสถาน มิฉะนั้นไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา180 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การหลังวันชี้สองสถานต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อหาเดิม หากทำเช่นนั้นถือเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ชอบ
ข้อความที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเป็นเรื่องจำเลยยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่เป็นข้อแก้ข้อหาเดิม เปลี่ยนแปลงข้ออ้างข้อเถียงเพื่อสนับสนุนข้อหา หรือเพื่อหักล้างข้อหาของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3)ไม่ใช่เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายละเอียดจำเลยจึงต้องขอแก้ไขเสียก่อนวันชี้สองสถาน เมื่อจำเลยได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถาน โดยไม่ปรากฏว่ามิอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานและมิใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การเลิกจ้างเนื่องจากอายุครบเกษียณ แม้จะอ้างเหตุไม่เป็นธรรมก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนในคดีก่อนและฟ้องโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ตรงกันว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในคราวเดียวกันทั้งอ้างเหตุที่จำเลยเลิกจ้างว่าโจทก์ทั้งสาม อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์อย่างเดียวกัน แต่ฟ้องของโจทก์ทั้งสามในคดีนี้กล่าวอ้างเหตุเพิ่มว่า โจทก์ทั้งสามยังไม่เกษียณอายุ จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการทำงานกำหนดว่า พนักงานโรงงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นเหตุที่จำเลยเลิกจ้างในคดีนี้เมื่อโจทก์ทั้งสาม มีอายุครบ 55 ปี ซึ่งเป็นการเกษียณอายุ ประเด็นคดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากล่าวกันมาแล้ว ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ามีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ทั้งสามคดีนี้ที่อ้างเหตุต่าง ๆ เพิ่มก็ไม่ทำให้มีประเด็นหรือเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การเลิกจ้างเนื่องจากเกษียณอายุ แม้จะอ้างเหตุอื่นเพิ่ม ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ตรงกันว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในคราวเดียวกัน ทั้งอ้างเหตุที่จำเลยเลิกจ้างว่าโจทก์ทั้งสามอายุครบ55 ปีบริบูรณ์อย่างเดียวกัน แต่ฟ้องของโจทก์ทั้งสามในคดีนี้กล่าวอ้างเหตุเพิ่มว่าโจทก์ทั้งสามยังไม่เกษียณอายุ จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 1 ในคดีก่อนว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการทำงานกำหนดว่าพนักงานโรงงานเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นเหตุที่จำเลยเลิกจ้างในคดีนี้ก็เพราะโจทก์ทั้งสามมีอายุครบ 55 ปีซึ่งเกษียณอายุนั่นเอง ประเด็นคดีนี้จึงประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากล่าวกันมาแล้วซึ่งมีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ทั้งสามคดีนี้ที่อ้างเหตุต่าง ๆ เพิ่ม ก็ไม่ทำให้มีประเด็นเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมหลังคู่ความอีกฝ่ายหมดพยาน ถือเป็นข้อโต้แย้งที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากเสร็จการสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนโดยมิได้อ้างเหตุตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88ศาลชั้นต้น (ศาลแรงงานกลาง) มีคำสั่งอนุญาต สำเนาให้จำเลย และทนายจำเลยได้รับสำเนาแล้ว คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านไม่ได้ ต้องห้าม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6145/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-อายุความ: คดีแรงงาน การกระทำเกินอำนาจ-หนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ขาดอายุความ
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ จำเลยต้องจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพและค่าชดเชยหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงาน มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของโจทก์ และกระทำเกินขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ ดังนี้ประเด็นข้อพิพาทคดีนี้กับคดีก่อนต่างกัน ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา164 วันที่ 6 กันยายน 2526 จำเลยได้ทำหนังสือรับรองความเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2526 ดังนั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2534 ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6129/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลแรงงานมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานที่ยื่นฝ่าฝืนข้อกำหนด หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญในคดี
กรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลแรงงานมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานซึ่งยื่นฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 88 ได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 87(2) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นค่าจ้าง นายจ้างต้องจ่ายตามส่วน หากเลิกจ้างโดยมิได้มีความผิด และมิได้ใช้สิทธิลาหยุด
ค่าจ้างหมายความรวมถึงเงินที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย และถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิด ให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ โดยให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน ดังนั้นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงเป็นค่าจ้าง ลูกจ้างทำงานมานาน 1 ปี 8 เดือนครึ่ง แล้วถูกเลิกจ้าง โดยมิได้มีความผิด เมื่อยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วน ที่มีสิทธิได้รับโดยสำหรับปีแรกเต็มปีจำนวน 6 วันทำงาน และอีก 8 เดือนครึ่งจำนวน 4 วันทำงาน รวมเป็น 10 วันทำงาน เมื่อนายจ้างเลิกจ้างก็ได้จ่ายเงินค่าจ้าง เงินค่าสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินค่าชดเชยให้ครบถ้วนแล้ว คงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีโดยนายจ้าง อ้างว่าลูกจ้างใช้สิทธิลาหยุดด้วยวาจาไปครบถ้วนแล้วซึ่ง ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าในฐานะที่นายจ้างประกอบกิจการโรงพยาบาล ก็น่าจะมีวิธีการจดแจ้งหรือบันทึกเรื่องการลาหยุดไว้ จึงฟังได้ว่า ลูกจ้างยังมิได้ใช้สิทธิลาหยุด พฤติการณ์ที่ปรากฏยังไม่เพียงพอว่า นายจ้างจงใจผิดนัดในการจ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จึง ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินเพิ่มเติมของเงินค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 68,400 บาท และให้ชำระเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15ของเงินค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันนับแต่วันฟ้อง โดยมิได้มีคำขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าว ในศาลแรงงานกลาง และคำขอนี้ก็มิได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5711-5723/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างและค่าชดเชย: เงินบำเหน็จไม่ใช่ค่าชดเชย, การนับอายุการทำงาน, ผู้ผิดนัดและดอกเบี้ย
พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดคุณสมบัติและเหตุที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องพ้นจากตำแหน่ง มิได้หมายความว่าเมื่อพนักงานผู้ใดขาดคุณสมบัติ หรือมีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่ง การจ้างเป็นอันระงับไปทันที แต่รัฐวิสาหกิจจะต้องดำเนินการให้พนักงานผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปด้วยเท่านั้น โจทก์ที่ 1 ถึง 12 บกพร่องต่อหน้าที่หรือมีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานอันถือว่าเป็นผู้ไม่สามารถทำงานให้แก่จำเลยได้เต็มเวลา และเป็นการขาดคุณสมบัติ แต่ก็มิใช่การฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน ที่จำเลยให้โจทก์ที่ 1 ถึง 12 ออกจากงานจึงเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสอง ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานหมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นการจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานเมื่อออกจากงานของจำเลยตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ มีหลักเกณฑ์การจ่ายแตกต่างจากการจ่ายค่าชดเชย ถือมิได้ว่าเงินที่จ่ายตามข้อบังคับดังกล่าวเป็นการจ่ายค่าชดเชย แม้จะมีข้อบังคับระบุว่าพนักงานมีสิทธิรับเงินบำเหน็จเพียงอย่างเดียว และถือเป็นค่าชดเชยตามกฎหมายก็ไม่มีผลบังคับ อุทธรณ์ที่มิได้โต้แย้ง คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางโดยยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง เป็นอุทธรณ์ที่มิชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เมื่อไม่จ่ายก็ตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง ข้ออ้างว่าไม่เจตนาหาเป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4789/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การฟ้องเรียกค่าชดเชยหลังคดีเดิมพิพาทถึงการเลิกจ้างและการกลับเข้าทำงาน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยและเป็นกรรมการลูกจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ขออนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อน เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา52 ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นกรรมการลูกจ้าง แม้โจทก์จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการลูกจ้าง ก็เป็นการแต่งตั้งที่ มิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเลิกจ้างหรือไม่ และจำเลยต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างย้อนหลังแก่โจทก์ หรือไม่แต่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อแรกเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างจากสหภาพแรงงาน ต. จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่ต้องขออนุญาตศาลแรงงาน พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่าย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เช่นนี้คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของจำเลยโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีความหมาย ชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า โจทก์ยังมีสภาพไม่ขาดจากการเป็นลูกจ้าง ของจำเลย ให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้อง โดยอาศัยเหตุจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด จึงมิใช่ฟ้อง โดยอาศัยเหตุและมีคำขอให้บังคับจำเลยเป็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ทั้งคำขอให้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวในคดีนี้ก็ไม่อาจ ขอรวมกันมาในคดีก่อนได้เพราะเป็นการขัดแย้งกันกับฟ้อง ฟ้องของโจทก์ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
of 443