พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,425 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานในคดีแรงงาน: ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้คำสั่งศาลแรงงานกลาง สั่งให้สืบพยานเพิ่มเติม กรณีพิพาทเลิกจ้างจากข้อกล่าวหาทุจริต
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้นเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้ รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างหลังปิดกิจการ: ศาลแรงงานมีอำนาจอนุญาต แต่ไม่สามารถกำหนดวันเลิกจ้างได้
ผู้ร้องปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดไปแล้ว ผู้ร้องจึงมีเหตุเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้ศาลแรงงานกลางจึงชอบที่จะสั่งอนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านได้แต่การที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านตั้งแต่เมื่อใดเป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องไปดำเนินการออกคำสั่งอีกชั้นหนึ่งศาลแรงงานกลางไม่พึงก้าวล่วงมีคำสั่งเช่นว่านั้น
ในวันนัดไต่สวน ผู้ร้องและผู้คัดค้านส่งเอกสารต่อศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดการไต่สวน คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อผู้คัดค้านมีโอกาสเพียงพอที่จะโต้แย้ง แต่มิได้โต้แย้งไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งงดการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31.(ที่มา-เนติ)
ในวันนัดไต่สวน ผู้ร้องและผู้คัดค้านส่งเอกสารต่อศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดการไต่สวน คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อผู้คัดค้านมีโอกาสเพียงพอที่จะโต้แย้ง แต่มิได้โต้แย้งไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งงดการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องและคำขอบังคับในคดีแรงงาน ศาลอนุญาตแก้ไขได้หากเจตนาชัดเจน แม้ไม่แก้ไขคำขอบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินสะสมไว้เป็นรายเดือนในระหว่างปฏิบัติงาน โจทก์ควรได้เงินสะสมดังกล่าวแต่จำเลยไม่จ่ายให้ แม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่า โจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 ไม่
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 และมาตรา 56.
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 และมาตรา 56.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องและขอบเขตการบังคับคดีในคดีแรงงาน: ศาลฎีกาอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้ แม้ไม่แก้ไขคำขอบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินสะสมไว้เป็นรายเดือนในระหว่างปฏิบัติงาน โจทก์ควรได้เงินสะสมดังกล่าวแต่จำเลยไม่จ่ายให้ แม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่า โจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 ไม่
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 31 และมาตรา 56
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 31 และมาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381-382/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการโอนลูกจ้างและอำนาจศาลแรงงานในการพิจารณาค่าเสียหายหลังเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือของจำเลยร่วม การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลยโดยบริษัทจำเลยรับโอนโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานต่อจากบริษัทจำเลยร่วม จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่กำหนดไว้
ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองไม่เป็นธรรมแต่ก็มิได้กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายโดยเห็นว่าค่าชดเชยที่โจทก์ทั้งสองได้รับเพียงพอกับความเสียหายแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องค่าเสียหาย ดังนั้นอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31.(ที่มา-เนติ)
ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองไม่เป็นธรรมแต่ก็มิได้กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายโดยเห็นว่าค่าชดเชยที่โจทก์ทั้งสองได้รับเพียงพอกับความเสียหายแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องค่าเสียหาย ดังนั้นอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีแรงงาน: การเรียกร้องสิทธิจากการเลิกจ้างต้องทำในคราวเดียวกัน
โจทก์เคยฟ้องจำเลยสาเหตุเนื่องจากจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์และได้กล่าวฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ซึ่งในการพิจารณาของศาลอาจบังคับให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือไม่รับกลับเข้าทำงาน โดยกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายให้ลูกจ้างแทนการกลับเข้าทำงานก็ได้ ดังนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้างนั้น โจทก์ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าจ้าง ค่าครองชีพ เงินช่วยเหลือบุตร สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินประกันเสียในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วแต่กลับมาเรียกร้องเป็นคดีหลัง ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในคดีแรงงาน: สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างต้องใช้สิทธิทั้งหมดในคราวเดียวกัน
คดีเดิม โจทก์เคยฟ้องจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ตามบทบัญญัติในมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯขอให้เพิกถอนคำสั่ง และให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงาน คดีถึงที่สุดเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้างนั้น โจทก์ก็ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องค่าจ้าง ค่าครองชีพ เงินช่วยเหลือบุตรสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จ ค่าชดเชยและเงินประกันไว้ในคดีดังกล่าว แต่กลับมาเรียกร้องเป็นคดีนี้ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีแรงงาน: การเรียกร้องสิทธิจากการเลิกจ้างต้องรวมทั้งหมดในคดีแรก
โจทก์เคยฟ้องจำเลยสาเหตุเนื่องจากจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์และได้กล่าวฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ซึ่งในการพิจารณาของศาลอาจบังคับให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือไม่รับกลับเข้าทำงาน โดยกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายให้ลูกจ้างแทนการกลับเข้าทำงานก็ได้ ดังนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้างนั้น โจทก์ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าครองชีพ เงินช่วยเหลือบุตรสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินประกันเสียในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วแต่กลับมาเรียกร้องเป็นคดีหลัง ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกายกอุทธรณ์ เพราะจำเลยไม่ได้อ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้าง
อุทธรณ์ของจำเลยมิได้อ้างเหตุที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์เรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ก็มิได้กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น การที่จะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดี อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย.(ที่มา-เนติ)