พบผลลัพธ์ทั้งหมด 65 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาแสดงความเป็นเจ้าของ ถือเป็นการยึดถือที่ดินของรัฐ มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม. และพ.ตลอดแนวเมื่อพ.กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของพ. ปลัดอำเภอที่ดินอำเภอและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของพ. แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไปครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการจึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครองการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดถือที่ดินของรัฐจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา9,108ทวิวรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาเพื่อหวงกันถือครอง เป็นการยึดถือที่ดินของรัฐ มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม.และพ. ตลอดแนวเมื่อพ. กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของพ.ปลัดอำเภอที่ดินอำเภอและคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของพ. แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไปครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการจึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครองการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดที่ดินของรัฐจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา9,108ทวิวรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้อมรั้วที่ดินสาธารณประโยชน์โดยเจตนาถือครองเข้าข่ายยึดครองที่ดินของรัฐ
จำเลยล้อมรั้วที่ดินแปลงพิพาทด้านติดถนนสาธารณะและด้านซึ่งติดกับที่ดินของม.และพ.ตลอดแนวเมื่อพ. กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของ พ.ปลัดอำเภอ ที่ดินอำเภอ และคณะกรรมการหมู่บ้านได้ตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของ พ.แต่ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของส. แม่ยายจำเลยหากแต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ เมื่อปลัดอำเภอได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยรับปากว่าจะรื้อรั้วออกไป ครั้นครบกำหนดจำเลยยังมิได้ดำเนินการ จึงเป็นกรณีที่จำเลยเจตนาล้อมรั้วเพื่อแสดงขอบเขตหวงกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าไปใช้สอยถือครอง การกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปยึดที่ดินของรัฐ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6471/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายจากพฤติการณ์การกระทำ
จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1จำนวน 2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้า ยาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างในที่กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวาต้องเจาะเอาลมออก แพทย์ลงความเห็นว่าถ้ารักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธ แต่เจตนาไม่ถึงฆ่า ศาลลดโทษและรอการลงโทษ
แม้จำเลยใช้ขวานและค้อนเป็นอาวุธฟันและตีทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง แต่สาเหตุของการทำร้ายไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเกิดเหตุ สาเหตุการทำร้ายเป็นเพราะความไม่พอใจกันในหมู่ญาติ ขณะเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ต่างมีอาการเมาสุราและสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อมีผู้ห้ามต่างก็เลิกรากันไป ทั้งขนาดของคมขวานยาว 3 นิ้ว สันขวานหนาเพียง 1 นิ้วครึ่ง เป็นขวานขนาดเล็กเฉพาะความยาวของขวานรวมทั้งด้ามมีความยาว 14 นิ้วครึ่ง ส่วนขนาดของค้อนไม่ปรากฏและแม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่หางคิ้วซ้ายยาว 1.5 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก บาดแผลที่เหนือท้ายทอยยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก กับบาดแผลฉีกขาดที่ริมฝีปากด้านบนยาว 4 เซนติเมตร ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณศีรษะด้านหน้ายาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกระโหลกก็ตาม แต่บาดแผลของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 หายเป็นปกติภายใน 10 วัน และ 7 วันไม่ถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ขวานฟันและใช้ค้อนตีผู้เสียหายทั้งสองโดยแรง ดังนี้ จำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาฆ่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192ไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้อง โทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 2 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาและกรรมเดียวในการทำร้ายร่างกาย - การชนท้ายรถเพื่อหวังทำร้าย - การพิจารณาเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน
การที่พวกของจำเลยขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ ส.ขับโดยมีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองจึงหยุดรถแล้วลงไปใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม เห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์เพียงต้องการให้หยุดรถเพื่อที่จะได้ทำร้ายร่างกายเท่านั้นเมื่อปรากฏว่า ส. กระเด็นตกจากรถไปนั่งที่พื้นมีอาการจุกเสียด ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอาการบาดเจ็บลุกขึ้นยืนได้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาฆ่าเพราะหากมีเจตนาฆ่าก็น่าจะขับรถยนต์ชนอย่างแรง หรือขับรถยนต์กับ ส. และโจทก์ร่วมไปแล้ว โจทก์ฎีกาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายส. และโจทก์ร่วมแล้วพวกของจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์เก๋งทับร่างของโจทก์ร่วมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปรุมตี ส. และโจทก์ร่วมพร้อม ๆ กันเมื่อเห็น ส. ขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านมามีการร้องท้าทาย ส.และโจทก์ร่วมให้ตีกันเมื่อส. กับพวกไม่สนใจและไม่ยอมหยุดรถจักรยานยนต์พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ล้มลง จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม ดังนี้เป็นการกระทำครั้งหนึ่งคราวเดียวและมีเจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเกิดภายหลัง-ตัวการร่วมทำร้าย: ศาลลดโทษจำเลยร่วมจากฆ่าผู้อื่นเป็นทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ใช้ไม้ตีซึ่งล้วนไม่ก่อให้เกิดบาดแผลถึงตายได้ แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทง แม้ว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ใช้ไม้ตีผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้เข้าทำร้ายผู้ตายก็ตามแต่ก็ด้วยการเตะ จำเลยที่ 1 หาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมานั้นแทงทำร้ายผู้ตายทันทีไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเพียงเจตนาร่วมทำร้ายก่อน ต่อเมื่อเกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกมาแทงผู้ตาย เจตนาในการฆ่าผู้ตายของจำเลยที่ 1 ที่เกิดขึ้นภายหลังเช่นนี้จึงเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุ ไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 จะฆ่าผู้ตายจึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า มีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยการแบ่งหน้าที่กันทำ คดีต้องฟังเป็นคุณว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้าย จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงต้องรับผิดเพียงฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก,83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4969/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: การพิจารณาเจตนาและเหตุแห่งการกระทำ
ผู้ตายบอกแก่ภรรยาว่าถูกจำเลยใช้มีดพร้าตีที่ศีรษะ ขณะนั้นยังมีสติและพูดคุยกับภรรยาได้ประมาณ 2-3 นาที ผู้ตายจึงบอกให้ภรรยานำผู้ตายส่งโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ตายคงรู้อาการของตัวเองว่าหนักมากต้องการที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ แสดงว่าผู้ตายคงรู้ตัวว่าอาการของตนน่าจะถึงแก่ความตายได้ ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกแก่ภรรยาจึงรับฟังได้ จำเลยใช้มีดพร้าตีศีรษะผู้ตายเพียงครั้งเดียวโดยแรง เนื่องจากโกรธที่ผู้ตายหาบหญ้ามาโดนศีรษะเมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้สันมีดพร้าตีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา290 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า vs. บันดาลโทสะ: การพิจารณาโทษจำคุกจากการทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้มีดของกลางแทงไปที่กลางหน้าอกของผู้ตาย ซึ่งมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายในอย่างแรง แม้แทงเพียงครั้งเดียว แต่จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยด่ากันโดยใช้ถ้อยคำหยาบคายเป็นประจำทุกวันแม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายด่าจำเลยว่า "ไอ้หน้าหีหน้าแตด ไม่ช่วยทำมาหากิน" ก็เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำหยาบคายตามปกติ ทั้งขณะเกิดเหตุเพื่อนบ้านที่ร่วมดื่มสุรากับจำเลยก็กลับไปแล้ว คำกล่าวของผู้ตายจึงไม่ได้ทำให้จำเลยต้องอับอายขายหน้าบุคคลอื่น จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ การที่จำเลยแทงผู้ตายจึงไม่ใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ หากแต่เป็นเพราะจำเลยโกรธเคืองที่ผู้ตายด่าว่าจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4462/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีด การพิจารณาจากบาดแผลและผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญ
จำเลยใช้อาวุธมีดยาวประมาณ 4-5 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่ชายโครงทำให้เส้นเลือดใหญ่ในช่องท้องของผู้เสียหายฉีกขาด มีบาดแผลถูกลำไส้ใหญ่ 2 แผล และมีเลือดออกในช่องท้องมาก แสดงว่าจำเลยแทงอย่างแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80