คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บรรหาร มูลทวี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 88 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล และผู้ซื้อไม่สามารถเลิกสัญญาซื้อขายได้หากการโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้าจากกระบวนการทางกฎหมาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินและฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ รวมทั้งกระทำการต่างๆ ในนามลูกหนี้อีกฐานะหนึ่งจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นได้
ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด ซึ่งหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน และประกาศขายทอดตลาด ไม่ได้กำหนดเวลาไว้โดยแจ้งชัดว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหกแปลงให้ผู้ร้องเมื่อใด แม้ผู้ร้องมีความประสงค์จะนำที่ดินทั้งหกแปลงไปพัตนาทำธุรกิจก็เป็นเหตุผลเฉพาะตัวโดยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ตกลงด้วย จึงไม่อาจนำมาผูกมัดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ อีกทั้งผู้ร้องได้เข้าเป็นคู่ความในการร้องให้เพิกถอนการขายทอดตลาด เป็นการยอมรับถึงเหตุที่ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องล่าช้าโดยเฉพาะเหตุแห่งความล่าช้านี้เป็นการที่จะต้องดำเนินตามกระบวนพิจารณาที่ ป.วิ.พ. ได้บัญญัติไว้ ยังฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผิดสัญญา จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาใช้ได้ และเมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการร้องให้เพิกถอนการขายทอดตลาดถึงที่สุดแล้ว โดยศาลยกคำร้องให้เพิกถอนการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ย่อมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องได้ การชำระหนี้หาได้ตกเป็นพ้นวิสัยอันจะเป็นเหตุให้ผู้ร้องเลิกสัญญาและขอเงินคืนได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาความผิดตามฟ้องเดิมและการแก้ไขโทษที่เหมาะสมในคดีอาวุธปืนและการยิงในชุมชน
โจทก์ฟ้องเป็นข้อ ค. ว่า จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่มีไว้และพาไปอันเป็นความผิดตามฟ้องข้อ ก. และ ข. ซึ่งเป็นอาวุธปืนและกระสุนปืนที่ใช้ดินระเบิดยิงขึ้นฟ้า ในที่ชุมนุมชนที่จัดให้มีขึ้นในงานรื่นเริงมงคลสมรสและขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 376 ด้วย จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องทุกข้อหาซึ่งหมายถึงรวมทั้งความผิดตามฟ้องโจทก์ข้อ ค. ด้วย แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาอื่นเท่านั้น มิได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหานี้ด้วย จึงไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 376 ซึ่งโจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษมาโดยมิได้กำหนดโทษความผิดข้อหานี้อีกเป็นเพียงการพิพากษาให้ถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น จึงมิใช่เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการต้องทำภายในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการต้องยื่นคำขอภายในกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผนตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/26 และก่อนการมีคำสั่งชี้ขาดเรื่องการขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เมื่อการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำขอรับชำระหนี้ที่จะต้องดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้นั้น พ.ร.บ.ล้มละลายฯ บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179, 180 มาอนุโลมใช้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีปิดกั้นทางสาธารณะ ศาลอุทธรณ์ชอบที่ให้สืบพยานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองว่าปิดกั้นทางสาธารณะซึ่งอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง มีความกว้าง 3 เมตร เหลือเพียง 1.50 เมตร ทำให้โจทก์ทั้งสามและชาวบ้านใช้ทางสาธารณะไม่ได้หรือไม่สะดวก ขอให้เลิกปิดกั้น จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะแต่เป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์และชาวบ้านใช้เดินผ่านเป็นครั้งคราว เช่นนี้มีประเด็นพิพาทเป็นข้อสำคัญว่ามีทางสาธารณะตามฟ้องและจำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นจริงหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สอบถามคู่ความและโจทก์ทั้งสองแถลงรับว่า ทางพิพาทในปัจจุบันเหลือเพียงกว้าง 1.50 เมตร โดยเดินเท้าหรือรถจักรยานยนต์ผ่านได้ ศาลชั้นต้นก็สั่งงดสืบพยานโจทก์ทั้งสามและพยานจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่พิจารณาให้ได้ความตามประเด็นข้อพิพาทให้ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมโดยอายุความ: การใช้ทางเดินต้องต่อเนื่อง เปิดเผย และเพื่อประโยชน์ที่ดิน
การที่โจทก์จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสามยทรัพย์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยอันเป็นภารยทรัพย์มาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ในส่วนที่ผู้อื่นจะได้ใช้ทางเดินอันเป็นทางพิพาทหรือไม่นั้น ไม่มีผลเกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความของโจทก์แต่ประการใด โจทก์จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ฟังได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทอย่างปรปักษ์คือโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้สิทธิในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์เป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดแม้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อออกจากการเป็นผู้จัดการแล้ว จนกว่าการจดทะเบียนจะมีผล
ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนให้จำเลยในคดีดังกล่าวดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต่อนายทะเบียนกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ หากจำเลยในคดีดังกล่าวไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนั้น จำเลยที่ 3 จะพ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อนายทะเบียนได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้วเพราะการเป็นนิติบุคคลและอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาและถือเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1021 และ 1022 หาใช่จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่ ดังนั้น เมื่อในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้จำเลยที่ 3 ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 อยู่ จำเลยที่ 3 จึงหาหลุดพ้นจากความผิดรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ไม่ แต่ต้องร่วมรับผิดบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070 และ 1077 (2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 เด็ดขาด และโจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้มีคำขอให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 89 โดยไม่จำต้องคำนึงว่าจะได้มีการแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้วหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7087/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: การพิสูจน์ทางออกอื่นเพื่อใช้สิทธิทางผ่าน แม้มีทางออก แต่ต้องเป็นทางที่ใช้ได้โดยชอบ
โจทก์กับจำเลยท้ากันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท หากศาลเห็นว่าโจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นนอกจากทางพิพาทแล้ว โจทก์ยอมแพ้คดี หากไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทางอื่น จำเลยยอมแพ้คดี ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีทางสามทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่ทั้งสามทางจะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งไม่ปรากฏว่าเจ้าของที่ดินทั้งสามรายนี้ได้ยกที่ดินเป็นทางดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภาระจำยอม โจทก์ย่อมไม่อาจใช้ทางทั้งสามได้โดยชอบเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ซึ่งมีผลเท่ากับไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าถือไม่ได้ว่าทางออกดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะตามที่ท้ากันและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้านั้น ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7087/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: ศาลพิพากษาตามคำท้าสืบเผชิญ หากไม่มีทางออกอื่นจริง แม้ทางอื่นเดินได้ยาก
โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท หากศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสี่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นนอกจากทางพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยอมแพ้คดีหากไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นจำเลยทั้งสองยอมแพ้คดีข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นในการเดินเผชิญสืบตามที่คู่ความนำชี้ว่านอกจากที่พิพาทที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าเป็นทางแล้ว จำเลยทั้งสองนำชี้มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกสามเส้นทาง ซึ่งแต่ละเส้นทางเป็นทางเดินในสวนมีความกว้างขนาดคนเดินได้ ไม่ใช่ทางเข้าออกของรถยนต์ และต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งเจ้าของที่ดินไม่ได้ยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภารจำยอม โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจใช้ทางได้โดยชอบเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งมีผลเท่ากับไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าถือไม่ได้ว่าทางดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะตามที่ท้ากัน และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีตามคำท้านั้น ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์ที่ 1 มีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปโดยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์ที่ 1 จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5098/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกหนี้ร่วม: แม้ชำระหนี้บางส่วนจากทายาท ก็ยังต้องรับผิดหนี้ส่วนที่เหลือตามสัญญาร่วม
จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับ ณ. และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งจึงเป็นลูกหนี้ร่วม โจทก์จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ร่วมยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิงแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291 การที่โจทก์นำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสามและ ณ. ให้เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 และ ณ. เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว โจทก์ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาไปขอรับชำระหนี้แม้โจทก์จะยอมรับชำระหนี้จากทายาทของ ณ. เพียงบางส่วนโดยไม่ติดใจขอรับชำระหนี้ส่วนที่เหลือ และขอถอนคำขอรับชำระหนี้ในส่วนนี้ไป ก็หาทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับ ณ. หลุดพ้นไม่ต้องชำระหนี้ในส่วนที่เหลือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 เต็มตามขอ โจทก์จึงยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ในส่วนที่เหลือกรณีมิใช่หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว และมิใช่กรณีลูกหนี้ไม่ควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย อันจะเป็นเหตุให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 3 ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 135(2) และ (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4450/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต้องมีพฤติการณ์พิเศษและยื่นก่อนหมดระยะเวลา หรือมีเหตุสุดวิสัย การยื่นหลังกำหนดโดยไม่มีเหตุสุดวิสัยเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 นั้น การขยายระยะเวลาจะพึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลมีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ตามคำร้องของทนายจำเลยที่ 2 อ้างเหตุว่ายังไม่ได้รับเอกสารที่ขอคัดสำเนาจากศาล ถือได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์พิเศษ แต่การที่ศาลชั้นต้นย้ายที่ทำการโดยขนย้ายทรัพย์สินในวันหยุดราชการ วันธรรมดาซึ่งเป็นวันปฏิบัติราชการปกติ ศาลชั้นต้นยังคงเปิดทำการอยู่และมีประกาศที่ชัดเจนให้ทราบทั่วกันว่าให้คู่ความ ทนายความ และประชาชนติดต่อกับศาลชั้นต้น ณ ที่ทำการใหม่ตั้งแต่วันใดวันราชการอื่นก่อนหน้านี้ยังคงเปิดทำการ ณ อาคารเดิม ไม่ใช่ว่าวันที่ 1 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2543 ศาลชั้นต้นปิดทำการ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย การยื่นคำร้องของทนายจำเลยที่ 2 เมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาโดยปราศจากเหตุสุดวิสัยแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์จำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว
of 9