พบผลลัพธ์ทั้งหมด 300 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7373/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพาทกรรมการบริษัท: ศาลฎีกายกประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ถูกต้องและวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยกลฉ้อฉลแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดอุดรธานีว่า บริษัท อ. ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัทและประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2537 ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนเป็นจำเลยเพียงผู้เดียว นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดอุดรธานีจึงจดทะเบียนให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. และให้จำเลยเพียงผู้เดียวเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนตามคำขอของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. ดังเดิม จำเลยและจำเลยร่วมให้การว่าจำเลยไม่เคยทำกลฉ้อฉลหรือหลักฐานเท็จ โจทก์พ้นจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. ตามมติที่ประชุม คดีจึงมีประเด็นโต้เถียงกันว่า บริษัท อ. ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัทและประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2537 หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท อ. ครั้งที่ 1/2537 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการกำหนดประเด็นพิพาทที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7178/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่โจทก์ในคดีอาญา การไม่มาศาลตามนัด และผลของการยกฟ้อง
บทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 และ 181 ได้กำหนดหน้าที่ของโจทก์ว่าในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดี โจทก์จะต้องมาศาลตามนัด มิฉะนั้นให้ศาลยกฟ้องเสียเว้นแต่จะมีเหตุสมควรจึงจะให้เลื่อนคดีไป บทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะเร่งรัดการดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วมิให้มีการประวิงคดี จึงกำหนดมาตรการดังกล่าวเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดในวันนัดสืบพยานโจทก์แม้จะมีพนักงานอัยการอื่นที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่ศาลชั้นต้นหาใช่มีฐานะเป็นเจ้าของสำนวนและก็หาได้มีพนักงานอัยการคนใดมาแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปไม่ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของสำนวนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในหน้าที่การงานของตนจะผลักภาระความรับผิดชอบของตนให้แก่พนักงานอัยการอื่นหาสมควรไม่ การที่โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดในกรณีดังกล่าว ถือเป็นความผิดพลาดบกพร่องของโจทก์เอง กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7172/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเหมางาน: ผู้รับเหมาผิดสัญญาเนื่องจากงานไม่เรียบร้อย ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกเงินคืนตามสัดส่วน
ความชำรุดบกพร่องตาม ป.พ.พ. มาตรา 601 หมายความถึงความชำรุดบกพร่องซึ่งเกิดขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 598 , 599 และ 600 อันหมายถึงความชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์ที่ผู้รับจ้างส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างครบถ้วนแล้ว มิใช่หมายถึงการไม่ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญา
ที่จำเลยฎีกาว่า ว. ตัวแทนโจทก์รับมอบงานก่อสร้างบ้านจากจำเลยโดยมิได้อิดเอื้อน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 598 นั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะไม่ปฏิบัติงานให้เรียบร้อยตามสัญญา หาใช่ฟ้องให้จำเลยรับผิดในความชำรุดบกพร่องของงานที่ทำ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่ปฏิบัติงานให้เรียบร้อยตามสัญญาจริง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยตามสัดส่วนของงานที่ยังไม่ได้ทำให้เรียบร้อยตามสัญญาได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ว. ตัวแทนโจทก์รับมอบงานก่อสร้างบ้านจากจำเลยโดยมิได้อิดเอื้อน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 598 นั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะไม่ปฏิบัติงานให้เรียบร้อยตามสัญญา หาใช่ฟ้องให้จำเลยรับผิดในความชำรุดบกพร่องของงานที่ทำ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่ปฏิบัติงานให้เรียบร้อยตามสัญญาจริง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยตามสัดส่วนของงานที่ยังไม่ได้ทำให้เรียบร้อยตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6509/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: สถานที่ทำสัญญา (หนังสือรับสภาพหนี้) เป็นสถานที่เกิดมูลคดีได้
แม้ตามสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุว่า สถานที่รับบัตรและส่งใบเรียกเก็บเงินคือบ้านจำเลยที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่มูลคดีเกิด แต่ในคดีแต่ละคดี มูลคดีอาจเกิดขึ้นได้หลายแห่ง คดีนี้หลังจากจำเลยผิดสัญญาใช้บัตรเครดิตเป็นหนี้จำนวนหนึ่ง โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งแม้ว่าไม่ลบล้างหนี้เดิมหรือเกิดหนี้ใหม่ แต่หนังสือรับสภาพหนี้ก็เป็นนิติกรรมอันชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันคู่สัญญา จึงถือได้ว่าสถานที่ทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นสถานที่เกิดมูลคดีอีกแห่งหนึ่ง เมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ทำที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงพระโขนง อีกทั้งโจทก์ฟ้องขอบังคับตามหนังสือรับสภาพหนี้และแนบหนังสือมาท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องการที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระโขนง จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6509/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: สถานที่ทำสัญญาไม่ใช่สถานที่มูลคดี หากมูลคดีเกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่บ้านจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้อันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์บางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ดังนี้ แม้ตามสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุว่า สถานที่รับบัตรและส่งใบเรียกเก็บเงินคือบ้านจำเลยซึ่งอยู่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่มูลคดีเกิด แต่ในคดีแต่ละคดี มูลคดีอาจเกิดขึ้นได้หลายแห่ง หลังจากจำเลยผิดสัญญาใช้บัตรเครดิตเป็นหนี้จำนวนหนึ่ง โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งแม้ว่าไม่ลบล้างหนี้เดิมหรือเกิดหนี้ใหม่ แต่หนังสือรับสภาพหนี้เป็นนิติกรรมอันชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันคู่สัญญา จึงถือได้ว่าสถานที่ทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นสถานที่เกิดมูลคดีอีกแห่งหนึ่ง เมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ทำที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น (ศาลแขวงพระโขนง) อีกทั้งโจทก์ฟ้องขอบังคับตามหนังสือรับสภาพหนี้และแนบสำเนาหนังสือมาท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง การที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงพระโขนง) จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าไปในโรงแรมเพื่อติดต่อธุระที่ดินโดยมีเหตุอันสมควร ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
การที่จำเลยเข้าไปตาม พ. ในโรงแรมของโจทก์ร่วมเพื่อจะบอกถึงธุระเกี่ยวกับที่ดินที่จะต้องไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้นตามที่ พ. นัดแนะไว้ นับว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร การที่จำเลยมีมีดของกลางติดตัวไปด้วยหรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญ เมื่อเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรแล้วแม้จะมีมีดติดตัวไปด้วยก็ไม่ทำให้การเข้าไปนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่มีเหตอันสมควร พฤติการณ์ของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าไปในโรงแรมเพื่อติดต่อธุระกับสามีโดยมีเหตุอันสมควร ไม่ถือเป็นการบุกรุก
จำเลยเข้าไปตามสามีในโรงแรมของโจทก์ร่วมตามที่สามีนัดแนะไว้เพื่อบอกถึงธุระเกี่ยวกับที่ดินที่จะต้องไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้น นับว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร แม้จำเลยจะมีมีดติดตัวไปด้วยก็ไม่ทำให้การเข้าไปนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่มีเหตุอันสมควร ส่วนที่จำเลยยังไปเคาะประตูห้องพักภายหลังจากที่โจทก์ร่วมไม่ยอมมอบกุญแจห้องพักดังกล่าวให้จำเลย ก็อาจเป็นเพราะจำเลยไม่พอใจจากการที่มีเหตุโต้เถียงกับโจทก์ร่วมก่อนหน้านั้นก็เป็นได้ พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์ร่วม จำเลยไม่มีความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6376/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องและผลกระทบต่อการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด: การสิ้นสุดการยึดทรัพย์เมื่อศาลยกฟ้อง
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 32 บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นรวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง..." ดังนี้ไม่ว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยรายใด เพราะกรณีพยานหลักฐานไม่อาจรับฟังได้ หรือเพราะกรณียกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยก็ตาม การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นก็ย่อมสิ้นสุดลงคดีนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 แม้เพราะเหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยเลยที่ 1 ก็ตาม กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ย่อมสิ้นสุดลง ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6364/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้อง หากศาลลงโทษจากข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ใช่ที่ฟ้อง ถือเป็นการพิพากษาผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกโดยอ้างว่าจำเลยกับพวกรู้ว่าที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารการสอบสวนสิทธิอันเป็นความเท็จว่าที่ดินเห็นควรออก น.ส. 3 เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าที่ดินมีน้ำทะเลท่วมถึง ราษฎรใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกันจับสัตว์น้ำ และยังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนว่าที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่ดินเป็นป่าชายเลนและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปว่าที่ดินทั้งสามแปลงไม่มีการทำประโยชน์ แต่เพิ่งจะมีการทำประโยชน์ในปี 2519 ฟังว่าที่ดินไม่มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อน การรับรองในแบบการสอบสวนจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาลงโทษในข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด เป็นการมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5460/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: การส่งคืนที่ดินที่ตัวแทนได้รับไว้แทนตัวการ ศาลรับฟ้องได้
คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า บ. เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เป็นผู้มีชื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งโจทก์ได้ให้มารดาโจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจากเจ้าของที่ดินแทนโจทก์ โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เมื่อ บ. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการ จึงเป็นหน้าที่ของ บ. ผู้เป็นตัวแทนจะต้องจดทะเบียนโอนที่ดินที่ บ. ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้นส่งคืนให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 810 วรรคหนึ่ง และเมื่อ บ. ถึงแก่ความตาย จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องโอนที่ดินดังกล่าวส่งคืนให้แก่โจทก์ด้วย คำฟ้องของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นการเรียกให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ผู้เป็นตัวการที่ บ. ได้รับไว้อันเกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนของโจทก์นั้นให้แก่โจทก์ อันเป็นหน้าที่ของตัวแทนที่จะต้องส่งให้แก่ตัวการตามบทบัญญัติดังกล่าว การฟ้องเรียกที่ดินตามคำฟ้องจากจำเลยเช่นนี้ จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับทรัพย์สินอันใดเพิ่มขึ้นใหม่แต่ประการใด และถือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดที่จะรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา