พบผลลัพธ์ทั้งหมด 300 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์เป็นข้อต่อสู้คดีร้องขัดทรัพย์ ต้องแสดงเหตุโต้แย้งสิทธิชัดเจนในคำร้อง
เมื่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 55 การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ได้นั้น ผู้ร้องต้องบรรยายมาในคำร้องขอโดยชัดแจ้งให้เห็นว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ อันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นผู้ร้องจึงจะมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้บรรยายในคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริตจึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้ามาสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในประเด็นดังกล่าวและกรณีมิใช่เรื่องที่คู่ความสามารถนำพยานเข้ามาสืบประกอบได้เองโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายมาในคำร้องดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวนจึงชอบแล้ว
การที่ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอไว้ไต่สวนต่อไปนั้น เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก)
การที่ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอไว้ไต่สวนต่อไปนั้น เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายมีเงื่อนไขและการบอกเลิกสัญญา กรณีผู้ซื้อผิดนัดชำระเงิน ผู้ขายมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายและส่งมอบรถคืน
ทรัพย์สินที่ซื้อขายโดยมีเงื่อนไขจะโอนกรรมสิทธิ์กันนั้นผู้ขายอาจนำทรัพย์สินที่จะมีกรรมสิทธิ์ในอนาคตออกขายล่วงหน้าได้ฉะนั้น เมื่อจำเลยตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันพิพาทกับโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวให้เมื่อจำเลยผ่อนชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ผ่อนชำระราคาให้โจทก์ตามกำหนดจนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญา กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคแรก คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนแก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบรถคืนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ส่งมอบรถคืนแก่โจทก์ได้
ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยเลิกสัญญาโดยการส่งมอบรถคืนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนแก่โจทก์เป็นเจตนาที่จะเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งมิได้มีเจตนาที่จะเลิกสัญญาด้วยนั้นจำต้องรับมอบรถยนต์คืนจากจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองรถยนต์คันพิพาทตลอดมา และการที่จำเลยครอบครองรถยนต์ไว้ใช้ประโยชน์นับแต่วันทำสัญญาซื้อรถยนต์ตลอดมา เมื่อจำเลยไม่ผ่อนชำระตามกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยต้องส่งมอบรถพิพาทคืนโจทก์และต้องชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นแก่โจทก์ด้วย โดยถือเป็นค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์คันพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคสาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับราคารถยนต์ที่ต้องใช้แทนในกรณีที่จำเลยไม่อาจส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนโจทก์ ทั้งที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยเลิกสัญญาโดยการส่งมอบรถคืนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนแก่โจทก์เป็นเจตนาที่จะเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งมิได้มีเจตนาที่จะเลิกสัญญาด้วยนั้นจำต้องรับมอบรถยนต์คืนจากจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองรถยนต์คันพิพาทตลอดมา และการที่จำเลยครอบครองรถยนต์ไว้ใช้ประโยชน์นับแต่วันทำสัญญาซื้อรถยนต์ตลอดมา เมื่อจำเลยไม่ผ่อนชำระตามกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยต้องส่งมอบรถพิพาทคืนโจทก์และต้องชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นแก่โจทก์ด้วย โดยถือเป็นค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์คันพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคสาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับราคารถยนต์ที่ต้องใช้แทนในกรณีที่จำเลยไม่อาจส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนโจทก์ ทั้งที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีแพ่งหลังทนายโจทก์ขอถอนตัว และผลของการไม่แจ้งเหตุขัดข้อง
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้อนุญาตให้ถอนตัวและให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ในนัดต่อมา โดยทนายโจทก์ลงชื่อทราบคำสั่งและวันนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณา ต้องถือว่าโจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโดยชอบแล้ว การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเช่นนี้ จึงเป็นความผิดของโจทก์และถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ส่วนการที่ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ก็มิใช่คำแถลงที่มีความหมายในทางที่จำเลยประสงค์หรือตั้งใจจะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 เดิม ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณาคดีแพ่ง: ผลของการไม่มาศาลและคำแถลงของจำเลยที่ไม่ชัดเจน
แม้ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่สืบก่อน แต่เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้อนุญาตให้ทนายโจทก์ถอนตัวและให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ในนัดต่อมา การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ส่วนการที่ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ก็มิใช่คำแถลงที่มีความหมายในทางที่จำเลยประสงค์หรือตั้งใจจะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์อย่างคนอนาถาต้องมีเหตุผลสมควร และต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย
การขออุทธรณ์อย่างคนอนาถานอกจากผู้ขอต้องเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมแล้ว ยังต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าคดีของตนมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่งเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และยกคำร้อง และสั่งว่าหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในเวลาที่กำหนด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว อันมีผลให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียว ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายให้สิทธิจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งการที่จำเลยอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และผลของการไม่ชำระค่าธรรมเนียมตามกำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และมีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในเวลาที่กำหนดจึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว และมีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียว ซึ่งอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย ที่ให้สิทธิแก่ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์อย่างคนอนาถาต้องแสดงเหตุผลสมควร และมีกำหนดเวลาอุทธรณ์คำสั่ง หากพ้นกำหนดถือว่าขาดอายุความ
การขออุทธรณ์อย่างคนอนาถานอกจากผู้ขอต้องเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมแล้ว ยังจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าคดีของตนมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และมีคำสั่งยกคำร้องจึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว และมีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียวซึ่งอยู่ในบังคับมาตรา 156 วรรคท้าย ที่ให้สิทธิแก่ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งเมื่อพ้นกำหนดเวลาเช่นว่านี้ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1147/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การต้องยื่นตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่มีเหตุสมควร หรือเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อย
โจทก์ส่งสำเนาบัญชีกระแสรายวันให้จำเลยแล้วตั้งแต่ขณะยื่นฟ้องตามเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยสามารถตรวจสอบยอดหนี้และรายการคิดดอกเบี้ยได้มาตั้งแต่ต้น การที่จำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายหลังวันสืบพยานว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียงประมาณ 300,000 บาท จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การก่อนวันดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีและการมอบอำนาจช่วง แม้กรรมการผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงหลังมอบอำนาจแล้ว ผู้รับมอบอำนาจยังคงมีอำนาจดำเนินการแทนได้
ขณะมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนนั้น ผู้มอบอำนาจยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์อยู่ แม้ภายหลังผู้มอบอำนาจจะพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อกระทำการแทนโจทก์ก็ตาม หาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนโจทก์สิ้นสุดไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถบรรทุกร่วมรับรู้การขนส่งน้ำหนักเกิน ร่วมรับผิดชอบต่อการกระทำผิด
ผู้ร้องร่วมทำธุรกิจกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ด. ในการรับจ้างขนส่งน้ำมันกับบริษัท ช. มาตั้งแต่เริ่มแรก ผู้ร้องย่อมต้องรับรู้ถึงการขนส่งน้ำมันในแต่ละเที่ยวว่ามีปริมาณเท่าใด และมีผลทำให้รถบรรทุกของผู้ร้องต้องบรรทุกน้ำมันมีน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ผู้ร้องจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของบริษัท ช. ที่นำน้ำมันมาบรรทุกในรถบรรทุกของกลาง ผู้ร้องจึงไม่ทราบเรื่องน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดหาได้ไม่ ต้องฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย