คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วรนาถ ภูมิถาวร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตยาเสพติดโดยแบ่งบรรจุเพื่อจำหน่าย มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ แม้จะเสพเองด้วย
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ในขณะที่จำเลยทั้งสามกำลังร่วมกันแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนในหลอดกาแฟที่ตัดเป็นท่อน โดยบรรจุเสร็จแล้ว 3 หลอด หลอดละ 10 เม็ด ยังเหลือเมทแอมเฟตามีนในถุงพลาสติกอีก 120 เม็ด มีหลอดกาแฟที่ตัดเป็นท่อนแล้วอีก 5 หลอด และยังไม่ได้ตัดอีก 36 หลอด อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสามกำลังจะแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนที่เหลือในถุงพลาสติกลงในหลอดกาแฟที่เตรียมไว้อีกเป็นจำนวนมาก การแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการผลิตตามความหมายของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 4 การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 902/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องจากการกู้ยืมเงิน: การให้การของจำเลยแสดงเหตุขาดอายุความชัดเจน ชอบวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ โดยผ่อนชำระคืนเป็นรายวันการที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33(2) เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้อง ซึ่งตามมาตรา 193/33(2) บัญญัติอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เพียงกรณีเดียวเฉพาะเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ เช่นนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า สิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความเมื่อใดและเพราะเหตุใด คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าคดีขาดอายุความหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 902/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องจากการกู้ยืมเงิน: การให้การของจำเลยแสดงเหตุขาดอายุความชัดเจน ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ โดยกำหนดให้จำเลยผ่อนชำระคืนเป็นรายวัน การที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้องซึ่งตามมาตรา 193/33 (2) บัญญัติอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เพียงกรณีเดียวเฉพาะเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ เช่นนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่าสิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความเมื่อใดและเพราะเหตุใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาเรื่องอายุความตามคำให้การของจำเลย จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทค่าเสียหายจากการทำทองรูปพรรณชำรุด ผู้ประกอบการยึดหนี้เพื่อเจรจาต่อรอง ไม่ถือเป็นการยักยอก
ผู้เสียหายว่าจ้างจำเลยซึ่งเปิดร้านรับจ้างทำทองคำรูปพรรณ โดยนำพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำมาให้ทำกระจกปิดด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำ แต่จำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น จึงตกลงจะใช้ค่าเสียหายด้วยการเลี่ยมพระองค์อื่นให้ ซึ่งผู้เสียหายได้นำพระองค์อื่นมาให้เลี่ยมอีก 2 องค์ จำเลยเลี่ยมพระให้ผู้เสียหายเป็นค่าเสียหายไปแล้ว 1 องค์ ภายหลังจำเลยเห็นว่าค่าเสียหายสูงไปต้องการตกลงค่าเสียหายกันใหม่ด้วยการยึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้เพื่อหักหนี้กับค่าเลี่ยมพระองค์ที่ 2 ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีเพียงเจตนายึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้เพื่อเจรจาต่อรองกันใหม่เกี่ยวกับค่าเสียหายที่เศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น หาได้มีเจตนาจะเบียดบังไว้เป็นของตนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนอมหนี้ก่อนล้มละลายทำให้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสิ้นผลบังคับ
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยซึ่งขอประนอมหนี้โดยยอมชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามมาตรา 130 (1) - (7) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ เต็มจำนวนและในทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ จำเลยยอมชำระบรรดาหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้แล้วซึ่งทำให้จำเลยต้องผูกพันตามข้อตกลงในการประนอมหนี้และคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นอันยกเลิกไปในตัว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของจำเลยอีกต่อไป ชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องขับไล่ในสินสมรสและการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นพิจารณา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และภริยาซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1477 ถือว่าการที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทย่อมเป็นการสงวนบำรุงรักษาสินสมรสหรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากภริยา
จำเลยฎีกาว่าภริยาโจทก์อนุญาตให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ให้ครบถ้วนนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหาดังกล่าวไว้ แม้จะได้นำสืบในชั้นพิจารณาก็เป็นการนำสืบนอกคำให้การ ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดกระบวนการฟื้นฟูกิจการและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเมื่อศาลไม่เห็นชอบแผนฟื้นฟู
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้โดยอ้างว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ และให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/58 วรรคสาม ประกอบมาตรา 90/48 วรรคสี่ กระบวนการต่าง ๆ ในคดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จึงสิ้นสุดลง และอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้กลับเป็นของผู้บริหารของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/74 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ร้องอีกต่อไป ชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยกู้ยืมเกินอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สัญญาเป็นโมฆะ
ในวันที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ร้อยละ 12.25 สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดีร้อยละ 12.75 แต่ตามสัญญากู้ยืมเงินระบุข้อตกลงเกี่ยวกับดอกเบี้ยไว้อัตราร้อยละ 19 ต่อปี อันเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารโจทก์ประกาศกำหนดสำหรับเรียกเก็บจากลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข แต่ตามสัญญากู้เงินกลับระบุข้อตกลงเกี่ยวกับดอกเบี้ยไว้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และกำหนดให้จำเลยผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยนี้ตั้งแต่มีการทำสัญญากู้ยืมเงิน ข้อสัญญานี้จึงเป็นข้อสัญญาที่ตกลงให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ตั้งแต่เมื่อมีการทำสัญญากู้เงินกันเป็นต้นไปอันเป็นระยะเวลาที่จำเลยยังไม่ตกเป็นลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด ข้อสัญญาในเรื่องดอกเบี้ยเช่นนี้ จึงเป็นข้อสัญญาที่ทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้สิทธิโจทก์เรียกดอกเบี้ยโดยฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ฯ มาตรา 14 (2) อันเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ข้อสัญญาในการคิดดอกเบี้ยเช่นนี้จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แม้ในทางปฏิบัติจริงโจทก์จะผ่อนผันคิดดอกเบี้ยจากจำเลยต่ำกว่าอัตราที่ระบุไว้โดยมิชอบในสัญญาก็ตามก็หาเป็นเหตุให้ข้อสัญญาที่ตกเป็นโมฆะนั้นกลับสมบูรณ์ขึ้นมาได้ไม่ จึงเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยก่อนผิดนัด ส่วนอัตราดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับว่าเป็นเบี้ยปรับหากสูงเกินไปศาลมีอำนาจลดลงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสัญญาคิดดอกเบี้ยสูงเกินประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นโมฆะ
การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 14 (2) ที่กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้และหากธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดทางอาญาตาม มาตรา 44 เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 กำหนดไว้ในข้อ 3 (1) และ (2) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา อัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ส่วนต่างสูงสุดที่จะใช้บวกเข้ากับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี กับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกจากลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข และในข้อ 3 (4) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยและส่วนลดจากลูกค้าทุกประเภทได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดีบวกส่วนต่างสูงสุด เว้นแต่ในกรณีลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข ธนาคารพาณิชย์จะเรียกดอกเบี้ยและส่วนลดได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุด ที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข แต่ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองที่ทำกันเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2537 ข้อ 2 ตกลงให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญากู้เงินเป็นต้นไปอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับเรียกจากลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามประกาศธนาคารโจทก์ที่ใช้อยู่ในขณะทำสัญญานี้ เป็นข้อสัญญาที่ให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขได้ทั้งที่จำเลยทั้งสองยังไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งโจทก์ยังไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตรานี้ได้โดยชอบ โดยจะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตรานี้ได้ต่อเมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาแล้วเท่านั้น จึงจะถูกต้องตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ 3 (4) ดังกล่าว ข้อสัญญาข้อนี้จึงเป็นข้อสัญญาที่ทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้โจทก์เรียกดอกเบี้ยโดยฝ่าฝืนต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว อันเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 14 (2) ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 44 จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แม้ในทางปฏิบัติจริงโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราที่ต่ำกว่าที่ระบุไว้ในสัญญาก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้ข้อสัญญาที่ตกเป็นโมฆะนั้นกลับสมบูรณ์ขึ้นมาได้
ตามสัญญากู้เงิน ข้อ 4 ที่ระบุว่า ในกรณีที่จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราตามที่ระบุในข้อ 2 ซึ่งหมายถึงอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข เป็นกรณีการคิดดอกเบี้ยนับแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้แล้ว ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขได้ สัญญาข้อ 4 นี้จึงไม่ตกเป็นโมฆะ แต่เป็นสัญญาที่กำหนดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยสูงเนื่องจากจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งหากศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนก็มีอำนาจพิพากษาลดเบี้ยปรับลงเหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10294/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมัครใจวิวาทและผลต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย: ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงจากคดีอาญา
คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 อีกทั้งคู่ความแถลงร่วมกันว่าให้ถือข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามที่ปรากฏในคดีอาญาเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุ โจทก์คดีนี้กับจำเลยที่ 1 และพวกต่างมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนและด่าว่าโต้เถียงกันจนมีการใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกายกัน จึงเป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาทกัน คดีนี้ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อฟังว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกัน เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาท แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1
of 13