พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5730/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังความผิดฐานพยายามฆ่าและพาอาวุธปืน ศาลฎีกายกฟ้องได้แม้มีการอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกระทงหนึ่ง ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่งแม้ข้อหาฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นจะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อจำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดข้อหาดังกล่าวขึ้นมา และศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักบานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกฟ้องในความผิดฐานนี้ได้ด้วย ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5258/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยบันดาลโทสะและการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตหลังจากการถูกยั่วยุ
ผู้เสียหายพาภริยาจำเลยไปดื่มสุรากันสองต่อสองที่บ้านของผู้เสียหายในเวลาประมาณ 21 ถึง 23 นาฬิการะหว่างดื่มสุรามีการโอบกอดกัน การกระทำของผู้เสียหายจึงเป็นการล่วงเกินภริยาจำเลยในทำนองชู้สาวและผู้เสียหายทราบมาก่อนเกิดเหตุแล้วว่าอ. เป็นภริยาของจำเลย อีกทั้งจำเลยเองก็ทราบการกระทำของผู้เสียหายกับภริยาตนว่ารักใคร่ชอบพอกันมาก่อนเกิดเหตุแล้ว จึงไม่ติดตามคอยดูพฤติการณ์ของบุคคลทั้งสองอยู่เสมอ คืนเกิดเหตุจำเลยพบเห็นผู้เสียหายกับภริยาตนอยู่กันตามลำพังมีการดื่มสุราโอบกอดกันด้วยเช่นนี้ การที่จำเลยถามผู้เสียหายว่าเป็นชู้ กับภริยาตนหรือไม่และทำไมต้องมาพบกันอีก ก็เนื่องมาจากเกิดอารมณ์หึงหวงในฐานะที่เป็นสามีชอบที่จะถามเอาความจริงจากผู้เสียหายได้ แต่ผู้เสียหายกลับหาว่าภริยาจำเลยมาหาผู้เสียหายเอง เป็นเหตุให้จำเลยตบตีภริยาและผู้เสียหายได้ยั่วยุอารมณ์จำเลยด้วยการด่าว่าเป็นสัตว์หน้าตัวเมียรังแกผู้หญิงย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยผู้เป็นสามีจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ กรณีหาใช่เป็นการโต้เถียงกันไม่พฤติการณ์ดังกล่าวมานับได้ว่าผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการกระทำที่ถูกข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาล โทสะขึ้นในขณะนั้นและได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 การที่จำเลยพาอาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองติดตัวไปสืบหาภริยาที่ไปกับผู้เสียหายในทางชู้สาวโดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียหายและภริยาอยู่ ณ ที่ใด และผู้เสียหายจะล่วงเกินภริยาในทางชู้สาวจริงหรือไม่พฤติการณ์เช่นนี้จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะนำอาวุธปืนของกลางติดตัวไป จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6767/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าสงสัยของพยานหลักฐานในความผิดอาวุธปืนฯ ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 55,78 วรรคแรกหรือไม่ และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ได้ด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบ มาตรา 215และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3342/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยให้การรับสารภาพ แต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 และปรับบทความผิดในความผิดที่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามดังกล่าวให้ถูกต้องเท่านั้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจจึงเป็นคำรับโดยชอบ ศาลรับฟังได้ แต่ลำพังเพียงคำรับสารภาพชั้นสอบสวนยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ต้องฟังพยานโจทก์อื่นประกอบต่อไปอีก จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะปล้นทรัพย์ และในขณะเดียวกันย่อมเล็งได้ว่าว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ผู้เสียหายได้ขับรถแล่นหนีไปเสียก่อนจึงไม่ได้รับอันตรายจากการปล้นทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถเอาทรัพย์ใด ๆ ไปได้ จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์และความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกจำเลยน้อยกว่าที่ถูกต้องแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3257/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์-ปล้นทรัพย์ และบทบาทของผู้ร่วมกระทำความผิดที่แตกต่างกัน
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระภิกษุร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3เข้าไปในห้องเกิดเหตุ แล้วจำเลยที่ 2 จากไปด้วยอาการรีบร้อนเป็นพฤติการณ์ที่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ลงมือทำร้ายและลักทรัพย์ของผู้เสียหาย และอาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 ก็เป็นอาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่จำเลยที่ 2 นำไปฝากไว้แก่พยานโจทก์ และจำเลยที่ 2 ไปขอคืนมาในตอนเช้าวันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นเพียงผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดเท่านั้น ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 เป็นผู้พาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไปชี้ห้องที่เกิดเหตุเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นเพียงผู้สนับสนุน มิใช่ตัวการร่วมกระทำผิด แม้จำเลยที่ 4 มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 4 ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในความผิดหลายกระทง หากบทหนักไม่ห้าม อุทธรณ์บทเบาก็ไม่ต้องห้าม และต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
การวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา193 ทวิ หรือไม่ ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทง เมื่อความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย ถ้าบทหนักไม่ต้องห้ามศาลก็ต้องถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในกระทงความผิดฐานพาอาวุธปืนและมีดติดตัวไปในทางสาธารณะและหมู่บ้าน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทเมื่อความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, วรรคแรก72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งเป็นบทเบาก็พลอยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนและมีดยิงและแทงผู้เสียหายหรือไม่ และได้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยแล้ว ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 371 ให้แก่จำเลยด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1883/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตและการมอบตัวแสดงความสำนึกผิดเป็นเหตุสมควรรอการลงโทษ
จำเลยมีอาวุธปืนเล็กกล 1 กระบอก และกระสุนปืน 4 นัด แม้เป็นอาวุธร้ายแรง แต่จำเลยนำมามอบให้เจ้าพนักงาน และมอบตัวต่อเจ้าพนักงานโดยสมัครใจ ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพ กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทโดยมีอาวุธ การอ้างป้องกันตัวไม่สมเหตุผล และเจตนาฆ่าจากการใช้อาวุธร้ายแรง
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างการวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่นถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากความผิดบางส่วนยุติแล้ว และศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิมในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต กับฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรนั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะให้กำหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนที่ศาลชั้นต้นยังมิได้กำหนด ซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นความผิดฐานนี้จึงเป็นอันถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4482/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าและพกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ ศาลฎีกาแก้โทษตามบทบัญญัติกฎหมาย
แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคสองและมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง โดยให้ปรับจำเลย 100 บาทซึ่งต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายก็ตาม แต่ปรากฏว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยได้ไม่เกินโทษ ที่ศาลชั้นต้นวางไว้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212ประกอบมาตรา 225