คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สำรวจ อุดมทวี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 130 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมที่อ้างอิงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์อันเป็นสถาบันการเงิน ย่อมอยู่ภายในบังคับแห่งพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินฯ มาตรา 6 ซึ่งมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ในอัตราสูงสุดที่สถาบันการเงินอาจคิดได้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ดังนั้นแม้สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยในช่องกำหนดอัตราร้อยละต่อปีจะเว้นว่างไว้โดยไม่มีการพิมพ์ตัวเลข แต่สัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราสูงสุดเท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากผู้กู้ได้ และยังระบุอีกว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยสินเชื่อทั่วไปที่ผู้ให้กู้ประกาศกำหนดให้เรียกจากผู้กู้ยืมได้ ซึ่งหมายความว่า หลังจากทำสัญญาแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้ให้กู้ประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยตามสัญญาได้ในอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้ให้กู้ประกาศใช้บังคับใหม่ทันที โดยไม่จำต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงแก่ผู้กู้และให้ถือปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ครบถ้วน อันเป็นข้อตกลงที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมชัดแจ้งแล้ว และไม่ว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดจะเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้เงินหรือไม่ก็ตาม เมื่อดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยในอัตราต่าง ๆ ไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งโจทก์พึงมีสิทธิคิดได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามสัญญา และหน้าที่ชำระเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถึงกำหนด
สัญญากู้เงินระหว่างจำเลยผู้กู้กับโจทก์ผู้ให้กู้กำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับดอกเบี้ยของหนี้เงินกู้ไว้แล้ว แม้ตามสัญญาจำนองจะระบุว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี แต่เมื่อสัญญาจำนองเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยตามอัตราที่ระบุในสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธาน การที่โจทก์ปรับเพิ่มดอกเบี้ยให้สูงกว่าอัตราร้อยละ 11.50 ต่อปีตามสัญญากู้เงินเพราะเหตุที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนและค้างชำระติดต่อกันหลายงวด แม้เป็นการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยอาศัยข้อตกลงตามสัญญากู้เงินที่ให้สิทธิแก่ผู้ให้กู้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ใหม่เมื่อใดก็ได้เมื่อผู้กู้ผิดนัด ข้อตกลงเช่นว่านี้มีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนซึ่งคู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าในเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรอันเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เมื่อศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนย่อมมีอำนาจลดลงได้
การที่จำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องเอาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำนองไว้แก่โจทก์ โดยจำเลยตกลงให้โจทก์จัดการทำประกันภัยได้เอง และจำเลยยินยอมชำระเบี้ยประกันภัยคืนแก่โจทก์ แต่เมื่อหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระเบี้ยประกันภัยภายหลังวันฟ้องเป็นหนี้ซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระ อันเป็นหนี้ในอนาคต จะถือว่าจำเลยละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนนั้นยังไม่ได้ กรณียังไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์กับจำเลยตามกฎหมายที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6766/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลยได้ แม้โอนกรรมสิทธิ์ภายหลัง
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยได้นำที่ดินดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดินโดยปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อ โจทก์อ้างว่าที่ดินพิพาท ช. สามีโจทก์เป็นผู้ซื้อ ขอให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของ ช. แบ่งที่ดินให้ แต่จำเลยไม่ยอม โจทก์จำเลยจึงขอให้กรรมการหมู่บ้านทำข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเพื่อแบ่งปันที่ดินแปลงพิพาท การทำสัญญาดังกล่าวจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาทที่อาจมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 852

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6734/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นำเข้าและจำหน่ายยาเสพติด: ใช้กฎหมายเดิมเมื่อองค์ประกอบความผิดและโทษไม่ต่างกัน แม้มีการแก้ไขกฎหมาย
หลังจากที่ทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยจนมีการตกลงซื้อขายกันแล้วจำเลยจึงเข้าไปเอาเมทแอมเฟตามีน 400 เม็ด จากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาส่งให้ผู้ล่อซื้อในประเทศไทย และถูกจับขณะมีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนทั้งจำนวนดังกล่าวในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5)ฯมาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15,65 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ความใหม่แทน แต่ความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายนั้น ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มาตรา 15 วรรคสาม(2),65 วรรคสอง และกฎหมายเดิมมาตรา 15 วรรคหนึ่ง,65วรรคสอง ต่างมีองค์ประกอบความผิด และมีระวางโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียวจึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ และแม้ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มาตรา 66 วรรคสอง จะแตกต่างจากกฎหมายเดิมในมาตรา 66 วรรคหนึ่ง โดยโทษจำคุกตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่าแต่เนื่องจากการกระทำของจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย ซึ่งกฎหมายเดิมมีระวางโทษเช่นเดียวกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ กรณียังคงต้องลงโทษจำเลยตามกฎหมายเดิมเพียงบทเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6728/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกกล่าวบังคับจำนองโดยทนายความ และการให้สัตยาบัน รวมถึงขอบเขตการเบิกความของพยาน
โจทก์มอบหมายให้ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยโดยการมอบหมายไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 798 แต่จำเลยรับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องแสดงว่าโจทก์ยอมรับการบอกกล่าวบังคับจำนองของทนายความแล้ว เป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำของทนายความ ทนายความจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในการบอกกล่าวบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823
ก. เป็นผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารโจทก์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีลูกหนี้ที่ผิดนัดค้างชำระหนี้ รวมทั้งติดตามเรียกร้องหนี้สินค้างชำระ เบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบเอกสารเกี่ยวกับหนี้สินจำเลยว่ามีอยู่และถูกต้องแท้จริง เป็นการเบิกความถึงสิ่งที่พยานมีหน้าที่เกี่ยวข้องรู้เห็นและทราบข้อความในเรื่องที่เบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของก. จึงไม่ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6664/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือค้ำประกันบังคับคดี: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันยังคงอยู่จนกว่าจำเลยชำระหนี้หรือศาลมีคำสั่งกลับ
ผู้ร้องทำหนังสือประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นเพื่อค้ำประกันการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นบางส่วนโดยยังคงให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์แต่จำเลยไม่ชำระและจำเลยฎีกา ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วน และยังคงให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ เช่นนี้ ผู้ร้องจึงยังต้องรับผิดตามเนื้อความในหนังสือประกันดังกล่าว ความรับผิดของผู้ร้องตามหนังสือประกันดังกล่าวจะสิ้นไปต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ หรือในระหว่างฎีกาได้มีการทำหนังสือประกันขึ้นใหม่ หรือเมื่อโจทก์มิได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและไม่แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและผู้ร้องภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271
ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการอายัดที่ดินที่ผู้ร้องนำมาวางเป็นหลักประกันและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนโฉนดที่ดินที่นำมาวางเป็นหลักประกันให้แก่ผู้ร้องไปทั้งที่ผู้ร้องยังคงต้องรับผิดตามเนื้อความในหนังสือประกันอยู่ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อเห็นว่าเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและสอบถามโจทก์ จำเลยกับผู้ร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง จึงเป็นการสั่งตามอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ตามมาตราดังกล่าวหาใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6431/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาชิงทรัพย์และการกระทำความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์, บุกรุกเคหสถาน, และการใช้ไฟฟ้าทำร้ายผู้อื่น
จำเลยใช้สายไฟที่ตัดจากสายพัดลมต่อปลั๊กไฟในบ้านจี้ไปที่บริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวาของผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งไปสับคัตเอาท์ที่ด้านหลังบ้านโดยไม่หลบหนีไปทันทีแต่กลับมาพูดขู่ผู้เสียหาย ซึ่งหากจำเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหายก็ย่อมกระทำได้เพราะมีเวลามากพอ การที่จำเลยกลับมาพูดขู่ผู้เสียหายแทนที่จะหลบหนีไปแสดงให้เห็นว่าการไปสับคัตเอาท์ดับไฟนั้นไม่ใช่เพราะเกรงว่าผู้เสียหายจะจำหน้าได้หรือเพื่อป้องกันการติดตาม จำเลยจึงมีเจตนากระทำเพียงเพื่อให้ผู้เสียหายสลบไปและไม่อาจคาดหมายได้ว่าการกระทำเช่นนั้นอาจมีผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365ประกอบด้วยมาตรา 362 แต่คดีได้ความว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนอันเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตรา 364 มาในคำขอท้ายฟ้องแต่โจทก์ได้บรรยายถึงการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนมาในฟ้องแล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
ปลั๊กไฟพร้อมสายไฟ 1 เส้น ของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ เป็นทรัพย์สินในบ้านเช่าที่ผู้เสียหายพักอาศัย เมื่อเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6221/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีอาญา มาตรา 350 กรณีจำเลยโอนทรัพย์สินก่อนฟ้อง และโจทก์รู้หรือควรทราบถึงการโอน
ที่ดินแปลงที่จำเลยโอนขายให้ ด. เป็นแปลงเดียวกับที่โจทก์ขอซื้อจากจำเลยแต่จำเลยโอนให้ไม่ได้เพราะชื่อเจ้าของที่ดินยังเป็นของผู้อื่น ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้ละทิ้ง หากยังติดตามที่ดินแปลงพิพาทอยู่ การที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไปยื่นคำขอให้ยึดทรัพย์จำเลยโดยหนังสือมอบอำนาจมีข้อความชัดเจนว่าให้ยึดบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงนี้กับทรัพย์สินภายในบ้าน ดังนั้นการที่จำเลยโอนขายบ้านให้ ด. ก่อนที่โจทก์จะดำเนินการขอยึดนั้น โจทก์ก็ควรจะรู้หรือน่าจะรู้ว่าจำเลยขายที่ดินดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่การไปขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้วเกินกว่า 3 เดือน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 44 ที่กำหนดให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ได้รับสิทธิในที่ดินจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลาง ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตให้โอนสิทธิในที่ดินที่ได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 1) ฯ ข้อ 7 และข้อ 8 เป็นกรณีอนุญาตให้มีการซื้อขายที่ดินได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด หาใช่ไม่อาจทำการซื้อขายโดยเด็ดขาดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6188/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอาศัยบนที่ดินเกิดจากการทำสัญญาประนีประนอม ไม่ถือเป็นการจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิจึงไม่ผูกพันผู้รับโอน
แม้ ท. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ก. จะทำบันทึกสัญญาต่อหน้านายอำเภอยอมให้จำเลยปลูกบ้านบนที่ดินของตนก็ตาม แต่บันทึกสัญญาที่ ท. และจำเลยทำต่อกันนั้นเป็นการประนีประนอมระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับบ้านที่จำเลยปลูกและทรัพย์สินภายในบ้าน ไม่ใช่หนังสือจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดิน ดังนั้น การได้มาซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินของจำเลยจึงไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง คงมีผลบังคับได้ระหว่างคู่กรณีเท่านั้น หามีผลผูกพันโจทก์ผู้รับโอนที่ดินจาก ท. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ทำการโดยสุจริตหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6095/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอน น.ส.3ก. ที่ทับทางสาธารณประโยชน์ และการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งหากศาลพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอของโจทก์ก็ย่อมเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่อ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินมีราคา 32,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ขอให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยมิได้มีคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับทางเกวียนแต่ประการใด ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วนที่ทับทางเกวียน จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นมาแก้ไขให้ถูกต้องได้
of 13