พบผลลัพธ์ทั้งหมด 675 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและคำร้องขอพิจารณาใหม่ โดยมีเหตุผลจากความผิดพลาดเรื่องเวลา
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินหลังเลิกคบกัน แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และการสละประเด็นข้อพิพาทในชั้นศาล
โจทก์กับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสแม้ตามกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก็ตาม แต่ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยจะพึงมีพึงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่ โจทก์กับจำเลยอยู่กินและมีบุตรด้วยกัน 4 คน โจทก์เป็นแม่บ้านมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร ส่วนจำเลยเป็นผู้ทำมาค้าขายแล้วออกเงินซื้อที่ดินและบ้านพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยกันตลอดมา พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยร่วมกันทำมาหากินและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน แม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์กับจำเลยเลิกร้างกันได้ตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาท และโจทก์ได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน 400,000 บาทไปจากจำเลยแล้ว แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานไม่ได้กำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อดังกล่าวขึ้นฎีกา ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5229/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครอง vs. อายุความฟ้องร้อง และการกำหนดค่าทนายความเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าที่จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น จำเลยทั้งห้าเพียงแต่ยกขึ้นกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฏเหตุผลและรายละเอียดว่าขาดอายุความอย่างไร จึงไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ให้ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต่อมาจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิ่มเติมด้วย ถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ชี้สองสถานให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งห้าไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นนี้อีกก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นดังกล่าวได้ แต่เมื่อการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 เป็นเรื่องกำหนดเวลาได้สิทธิ หาใช่เป็นเรื่องอายุความฟ้องร้อง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ การกำหนดอัตราค่าทนายความต้องเป็นไปตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความเกินกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ตามที่ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5229/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ vs. อายุความฟ้องร้อง: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองและการยกอายุความ
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็น 3 ข้อ และจดไว้ในรายงานด้วยว่า ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์อายุความนั้นจำเลยเพียงแต่ยกขึ้นกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฎเหตุผลและรายละเอียดว่าขาดอายุความอย่างไร จึงไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ให้ คำสั่งที่ไม่กำหนดประเด็นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้กำหนดประเด็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิ่มเติมด้วยดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ชี้สองสถานตามคำร้องนี้ให้ยกคำร้อง จำเลยไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งในตอนหลังนี้อีก จำเลยก็ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นได้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นเรื่องกำหนดเวลาได้สิทธิ มิใช่เป็นเรื่องอายุความฟ้องร้อง ที่จำเลยจะยกขึ้นให้การเป็นข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความได้ การที่จำเลยให้การยกเหตุดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3467/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลระหว่างพิจารณา ทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ในภายหลัง
โจทก์ยื่นคำร้องฉบับแรกขอให้เรียกบิดามารดาจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา การที่โจทก์ยื่นคำร้องฉบับที่ 2 ซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกับคำร้องฉบับแรกโดยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ประการใด ถือไม่ได้ว่ามีการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้ใช้ก่อนย่อมมีสิทธิเหนือกว่า แม้จดทะเบียนภายหลัง
แม้จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า RAPETTI ในประเทศไทยก่อนโจทก์ แต่โจทก์เป็นผู้คิดเครื่องหมายการค้าคำว่า RAPETTIขึ้นใช้กับสินค้าของตนและได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในต่างประเทศไว้หลายประเทศ โจทก์ได้ขายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก่อนจำเลยหลายปี ทั้งบริษัทที่จำเลยเป็นกรรมการอยู่ก็เคยรับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจากโจทก์มาขายในประเทศไทยด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า RAPETTI ดีกว่าจำเลย จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทยก่อนโจทก์เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าโจทก์ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในชั้นชี้สองสถานว่า คำให้การของจำเลยเรื่องอายุความไม่ชัดแจ้ง จึงไม่กำหนดเป็นประเด็นให้ จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าว ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ประเด็นเรื่องอายุความอีกทั้งเรื่องดังกล่าวมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องอายุความดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตยื่นคำให้การและการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ การอุทธรณ์ที่ไม่ชัดเจนและไม่เป็นไปตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2531 ในวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2531 อ้างว่าเสมียนทนายจดวันนัดผิดจึงมิได้มาศาลขอให้ทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ดังนี้ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งแต่อย่างไรเลยเพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2531 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานถือเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ แม้ไม่โต้แย้งคำสั่ง
การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมายนั้น เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไป ทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้นแม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ จำเลยยื่นอุทธรณ์และฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างพิจารณาใหม่มิได้ขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี เป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ข) ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาศาลละ200 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงให้คืนส่วนที่เกินแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4729/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานชอบด้วยกฎหมายเมื่อจำเลยให้การคลุมเครือ และการรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คผูกพันตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดี ไม่ใช่มีการสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24,227 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็ค จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าจำเลยออกเช็คเป็นประกันหนี้ของบุตรเขยเท่านั้นดังนี้ เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คและเช็คมีมูลหนี้จากการที่จำเลยสั่งจ่ายประกันหนี้ของบุคคลอื่นแก่โจทก์จำเลยก็ย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ โดยไม่จำต้องมีการสืบพยานรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานแต่อย่างใดอีก จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดถูกต้องตามกฎหมายและมี ก. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจริงหรือไม่จำเลยไม่ขอรับรอง ไม่ได้กล่าวให้ชัดว่าโจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วยเหตุอะไร ก. ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการด้วยเหตุอะไร จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มี ก. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4659/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการมีอำนาจเลิกจ้างในคดีแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่จำเลยมิได้โต้แย้ง
คำสั่งศาลแรงงานกลางที่กำหนดประเด็นข้อพิพาท เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้จึงไม่สามารถอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31 จำเลยเป็นนิติบุคคล น. ได้รับอำนาจจากกรรมการของจำเลย น. จึงเป็นผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2น. มีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้