คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 226

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 675 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการไต่สวนเหตุสุดวิสัย ศาลไม่ต้องไต่สวนหากไม่ได้อ้างเหตุสุดวิสัย
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะไม่มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตาม ป.วิ.พ.นั้น เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 นั้น มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มาตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรมศุลกากรในการกักสินค้าค้างชำระภาษีอากร แม้มีการอุทธรณ์คดี
อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจตามมาตรา112 เบญจ แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 ที่จะกักของใด ๆ ของผู้ที่ค้างชำระภาษีอากรซึ่งกำลังผ่านศุลกากรจนกว่าจะได้รับชำระอากรที่ค้างจนครบ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีอากรเพิ่มสำหรับสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าซึ่งผ่านศุลกากรไปแล้ว และแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มแล้ว แม้ว่าโจทก์จะอุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดีอยู่ก็ตาม ต้องถือว่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่มและแจ้งให้โจทก์ชำระแล้วเป็นภาษีอากรค้างชำระโดยไม่ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาเสียก่อน หากต่อมาศาลพิพากษาในคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจำเลยประเมินภาษีอากรเพิ่มไม่ชอบ จำเลยย่อมมีหน้าที่คืนภาษีอากรดังกล่าวให้โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ฉะนั้น เมื่อถือว่าเป็นภาษีอากรค้างชำระ อธิบดีกรมศุลกากรจึงใช้อำนาจกักสินค้าของโจทก์ไว้จนกว่าโจทก์จะชำระค่าภาษีอากรที่ค้างได้ คำสั่งให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 แห่ง ป.วิ.พ. ประกอบด้วยมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทแรงงาน: การพิจารณาคดีไม่ชอบ, อายุความสัญญาจ้าง, คำให้การแก้ฟ้องแย้ง
การนั่งพิจารณาคดีแรงงาน ศาลแรงงานต้องมีผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่า ๆ กัน เป็นองค์คณะพิจารณาตามมาตรา 17แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแรงงานโดยอนุโลม ดังนั้น ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องในการพิจารณาคดี อันเป็นการผิดระเบียบ จำเลยจะต้องยื่นคัดค้านเสียภายใน 8 วัน ตามมาตรา 27แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลแรงงานกลางได้นั่งพิจารณาในวันที่ 21 สิงหาคม 2533 และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 กันยายน 2533 ถ้าผู้พิพากษาสมทบมิได้นั่งพิจารณาและลงลายมือชื่อในวันนั่งพิจารณานั้นจำเลยย่อมทราบแล้วว่าเป็นการผิดระเบียบควรคัดค้านเสียภายใน 8 วัน เมื่อจำเลยมิได้คัดค้าน จะอุทธรณ์โต้แย้งว่าการพิจารณาไม่ชอบหาได้ไม่
ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงมาฟ้องบังคับจำเลยทั้งสอง เช่นนี้เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในการที่จำเลยทั้งสองปฏิบัติงานฝ่าฝืนระเบียบทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ส่วนคดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้โจทก์รับจำเลยที่ 1 กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม กับขอให้ใช้ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินบำเหน็จซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
วันนัดพิจารณา ศาลบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2532ว่า โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง และได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม 2532 โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ศาลอนุญาตและรับคำให้การ สำเนาให้จำเลย จำเลยที่ 2 รับสำเนาแล้ว มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
แม้โจทก์จะมิได้ยื่นคำให้การเกี่ยวกับรายละเอียดต่อสู้ฟ้องแย้ง แต่ในฟ้องโจทก์มีรายละเอียดตามประเด็นที่พิพาทกัน คำให้การแก้ฟ้องแย้งก็เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2โจทก์ย่อมมีสิทธิสืบในรายละเอียดว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งได้
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานคุมยาสูบตรี มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบในการบรรทุกบุหรี่และควบคุมรถบรรทุกบุหรี่ระหว่างเดินทางจนถึงผู้รับปลายทาง จำเลยที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ไม่เฝ้าบุหรี่ เป็นเหตุให้คนร้ายลักรถและบุหรี่ไป โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายค่าบุหรี่แก่โรงงานยาสูบเป็นเงิน 1,512,394.81บาท ทั้งต้องซ่อมรถที่คนร้ายงัดอีก 7,820 บาท นับได้ว่าเกิดความเสียหายแก่โจทก์อย่างร้ายแรงในผลการกระทำของจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์คณะศาลแรงงาน, อายุความสัญญาจ้าง, การฟ้องแย้ง, สิทธิในการนำสืบ, ความรับผิดจากละเลยหน้าที่
การนั่งพิจารณาคดีแรงงาน ศาลแรงงานต้องมีผู้พิพากษาผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่า ๆ กัน เป็นองค์คณะพิจารณาตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแรงงานโดยอนุโลม ดังนั้น ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องในการพิจารณาคดี อันเป็นการผิดระเบียบ จำเลยจะต้องยื่นคัดค้านเสียภายใน 8 วัน ตามมาตรา 27แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลแรงงานกลางได้นั่งพิจารณาในวันที่ 21 สิงหาคม 2533 และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 กันยายน 2533 ถ้าผู้พิพากษาสมทบมิได้นั่งพิจารณาและลงลายมือชื่อในวันนั่งพิจารณานั้นจำเลยย่อมทราบแล้วว่าเป็นการผิดระเบียบควรคัดค้านเสียภายใน 8 วัน เมื่อจำเลยมิได้คัดค้าน จะอุทธรณ์โต้แย้งว่าการพิจารณาไม่ชอบหาได้ไม่ ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงมาฟ้องบังคับจำเลยทั้งสอง เช่นนี้เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในการที่จำเลยทั้งสองปฏิบัติงานฝ่าฝืนระเบียบทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ส่วนคดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ว่า จำเลยที่ 1ถูกโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้โจทก์รับจำเลยที่ 1 กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม กับขอให้ใช้ค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินบำเหน็จซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ วันนัดพิจารณา ศาลบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 3ตุลาคม 2532 ว่า โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง และได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม 2532 โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ศาลอนุญาตและรับคำให้การ สำเนาให้จำเลยจำเลยที่ 2 รับสำเนาแล้ว มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา แม้โจทก์จะมิได้ยื่นคำให้การเกี่ยวกับรายละเอียดต่อสู้ฟ้องแย้งแต่ในฟ้องโจทก์มีรายละเอียดตามประเด็นที่พิพาทกัน คำให้การแก้ฟ้องแย้งก็เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 โจทก์ย่อมมีสิทธิสืบในรายละเอียดว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งได้ จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานคุมยาสูบตรี มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบในการบรรทุกบุหรี่และควบคุมรถบรรทุกบุหรี่ระหว่างเดินทางจนถึงผู้รับปลายทาง จำเลยที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ไม่เฝ้าบุหรี่ เป็นเหตุให้คนร้ายลักรถและบุหรี่ไป โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายค่าบุหรี่แก่โรงงานยาสูบเป็นเงิน 1,512,394.81 บาท ทั้งต้องซ่อมรถที่คนร้ายงัดอีก 7,820 บาทนับได้ว่าเกิดความเสียหายแก่โจทก์อย่างร้ายแรงในผลการกระทำของจำเลยที่ 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทที่มิได้ยกขึ้นในชั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินและจำเลยที่ 3 ไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันนั้นในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แม้ต่อมาจำเลยจะแถลงขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติม แต่ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีเหตุจะเพิ่มประเด็นตามคำแถลง จำเลยก็มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวทั้งมิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้น ถือว่าจำเลยยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ให้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนั้น เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ามาแต่ศาลชั้นต้น แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยอาจยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ก็ตามแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะไม่ยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและการงดสืบพยาน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 เนื่องจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ขัดกันเองจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่และให้จำเลยที่ 1 มีสิทธินำสืบแก้ คดีของโจทก์ได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1แล้ว จึงมีสิทธิยกประเด็นนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้ จำเลยที่ 1 ให้การในตอนแรกว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบเช็คให้จำเลยที่ 2 นำไปมอบแก่โจทก์เป็นประกันโดยจะไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน และแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องภายหลังว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องมิใช่เช็คที่จำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 นำไปประกันต่อโจทก์ คำให้การของจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นการไม่แน่ชัด ว่าเช็คตามที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกและมอบให้ไว้แก่จำเลยที่ 2 ใช่หรือไม่ จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเอง ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ จึงไม่มีประเด็นในคดีจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิจะสืบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้, อายุความ, และการฟ้องเรียกหนี้ที่มีประกันจำนอง: ประเด็นห้ามมิให้ฎีกา และผลต่อการคิดดอกเบี้ย
จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ท้ายฟ้องเป็นโมฆะ จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์จะคิดดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีไม่ได้ดอกเบี้ยส่วนที่เกินเป็นโมฆะ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าหนังสือรับสภาพหนี้เป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยจะฎีกาว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นโมฆะไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) อายุความฟ้องเรียกเงินกู้คืนไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ภายในอายุความ จึงมีผลทำให้อายุความเรียกเงินกู้สะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดไป คือวันสิ้นกำหนดเวลาที่จำเลยสัญญาว่าจะนำเงินมาชำระหนี้เงินกู้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ภายในกำหนดอายุความ กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189ที่ห้ามโจทก์เรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า 5 ปี เพราะกรณีตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 189 ต้องเป็นเรื่องสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามมูลหนี้เดิมคือหนี้เงินกู้ขาดอายุความแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้แต่โจทก์ยังมีสิทธิฟ้องบังคับเอาจากทรัพย์สินที่รับจำนองไว้ได้และในกรณีเช่นนี้บทกฎหมายห้ามมิให้โจทก์เรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า 5 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการยกข้อกฎหมายที่ไม่เคยคัดค้านในชั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่ โจทก์ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามหรือไม่เพียงใดโจทก์มิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวไว้ ที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุม ไม่ชัดแจ้งไม่มีประเด็นนำสืบ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั้น เป็นการฎีกาคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านไว้ก็จะยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226และปัญหาว่าคำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุม ไม่ชัดแจ้งไม่มีประเด็นนำสืบหรือไม่ มิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในระหว่างพิจารณาคดี หากมิได้คัดค้านไว้ในชั้นนั้นแล้ว ไม่อาจนำมาอุทธรณ์ฎีกาได้
การฎีกาคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านไว้ก็จะยกขึ้นมาอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นนำสืบหรือไม่ มิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบ พยานเอกสารที่โจทก์อ้างในชั้นไต่สวนคุ้มครองชั่วคราวไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลย
จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับแต่เห็นว่าจำเลยมีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยาน จึงอนุญาตให้ ส. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลรับฟังคำเบิกความของ ส. มาพิจารณาด้วยได้
เมื่อเอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารที่โจทก์ได้ส่งอ้างต่อศาลไว้แล้วในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกที่จำเลยสามารถตรวจตราให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และแท้จริงแห่งเอกสาร โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนี้ให้แก่จำเลย.
of 68