คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 226

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 675 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำการชี้สองสถาน แม้ไม่โต้แย้งในชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จึงสั่งยกคำร้องของโจทก์คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำการชี้สองสถาน: สิทธิอุทธรณ์และการไม่โต้แย้งคำสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จึงสั่งยกคำร้องของโจทก์คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3495/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเดินเผชิญสืบและการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่ทำแผนที่พิพาท: ศาลฎีกาตัดสินแนวทางปฏิบัติ
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เรียกกรมที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำแผนที่พิพาท และไม่จำเป็นที่จะต้องไปเผชิญสืบที่พิพาทให้ยกคำร้องโจทก์ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงคัดค้านเรื่องขอให้ศาลเดินเผชิญสืบและเรียกกรมที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเท่านั้น ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องการทำแผนที่พิพาทด้วย จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในเรื่องการทำแผนที่พิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินเผชิญสืบที่พิพาทต่อไป ย่อมมีอำนาจงดเดินเผชิญสืบแล้ววินิจฉัยคดีไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3495/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเดินเผชิญสืบและข้อจำกัดการอุทธรณ์เรื่องการทำแผนที่พิพาทเมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอ
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เรียกกรมที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่มีความจำเป็นจะต้องทำแผนที่พิพาท และไม่จำเป็นที่จะต้องไปเผชิญสืบที่พิพาทให้ยกคำร้องโจทก์ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงคัดค้านเรื่องขอให้ศาลเดินเผชิญสืบและเรียกกรมที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเท่านั้น ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องการทำแผนที่พิพาทด้วย จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในเรื่องการทำแผนที่พิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินเผชิญสืบที่พิพาทต่อไป ย่อมมีอำนาจงดเดินเผชิญสืบแล้ววินิจฉัยคดีไปได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานเมื่อมีข้อเท็จจริงพอวินิจฉัย & การยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ทำให้ประเด็นคู่ความไม่เกิดผล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปร่วมกันยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ จำเลยและผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินร่วมกัน จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า ที่ดินส่วนของโจทก์มีบุคคลภายนอกครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยจึงไม่อาจไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป พิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยาน จำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัย ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คู่ความไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งตามมาตรา 226 ก็อุทธรณ์ฎีกาได้และคำให้การจำเลยที่อ้างสิทธิของบุคคลภายนอกขึ้นต่อสู้นั้นเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานและการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย และการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปร่วมกันยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ จำเลยและผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินร่วมกัน จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินส่วนของโจทก์มีบุคคลภายนอกครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยจึงไม่อาจไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป พิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัย ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คู่ความไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งตามมาตรา 226 ก็อุทธรณ์ฎีกาได้ และคำให้การจำเลยที่อ้างสิทธิของบุคคลภายนอกขึ้นต่อสู้นั้น เป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์: การโต้แย้งสิทธิและข้อกำหนดการยื่นคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนัดชี้สองสถานว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดการชี้สองสถาน แล้ววินิจฉัยว่า การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ผู้ได้กรรมสิทธิ์ต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 โจทก์จึงต้องยื่นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(1)โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเช่นนี้ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง แม้โจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24,227 โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยได้ให้คนงานของจำเลยมารื้อรั้วสังกะสีซึ่งล้อมที่พิพาทออกทั้งสี่ด้านและทำลายลานคอนกรีตในที่พิพาทของโจทก์บางส่วนเสียหาย ดังนี้แม้ขณะโจทก์ฟ้องศาลยังมิได้มีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ก็ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: อำนาจฟ้องคดีมีข้อพิพาท vs. คดีไม่มีข้อพิพาท และการโต้แย้งสิทธิ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนัดชี้สองสถานว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดการชี้สองสถาน แล้ววินิจฉัยว่า การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ผู้ได้กรรมสิทธิ์ต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 โจทก์จึงต้องยื่นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(1) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง แม้โจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณืได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24,227
โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยได้ให้คนงานของจำเลยมารื้อรั้วสังกะสีซึ่งล้อมที่ดินพิพาทออกทั้งสี่ด้านและทำลายลานคอนกรีตในที่พิพาทของโจทก์บางส่วนเสียหาย ดังนี้แม้ขณะโจทก์ฟ้องศาลยังมิได้มีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ก็ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการงดสืบพยานและการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงได้สั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า สมควรจะสืบพยานหรือไม่ มิใช่เป็นเรื่องการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27และคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึง 6 วันแต่มิได้โต้แย้งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการอุทธรณ์คำสั่งศาลและการปฏิบัติตามขั้นตอนการยื่นคำร้องในคดีล้มละลาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นอกจากเป็นเจ้าพนักงานศาลแล้วยังมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินและฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้รวมทั้งกระทำการต่าง ๆ ในนามลูกหนี้อีกฐานะหนึ่งจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นได้
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องเพื่อให้ผู้ร้องไปยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 14 วันนั้น ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งไว้แต่ประการใด
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องปฏิเสธหนี้ต่อศาลชั้นต้นโดยปฏิบัติไม่ถูกต้องตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 119 นั้นเมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้องเพื่อนำไปยื่นตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ศาลก็เพียงแต่ชอบที่จะอนุญาตให้ถอนคำร้องได้เท่านั้นไม่ชอบที่จะก้าวล่วงไปกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งต่างกับกรณีการฟ้องคดีต่อศาลที่ไม่มีเขตอำนาจ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสาม มาปรับแก่กรณีนี้ได้.
of 68