พบผลลัพธ์ทั้งหมด 675 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์เกิน 3 ปี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นโมฆะ และประเด็นการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่ได้กำหนดในประเด็นนำสืบ
บิดาทำสัญญาต่างตอบแทนให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์ตลอดชีวิตผู้เช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 การให้เช่ามีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เพียง 3 ปี
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสั่งกำหนดประเด็นนำสืบ ไม่ได้กำหนดประเด็นนำสืบข้อนี้ไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้น ดังนี้ จำเลยจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 249
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสั่งกำหนดประเด็นนำสืบ ไม่ได้กำหนดประเด็นนำสืบข้อนี้ไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้น ดังนี้ จำเลยจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์เกิน 3 ปี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นโมฆะ การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาต้องห้าม
บิดาทำสัญญาต่างตอบแทนให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์ตลอดชีวิตผู้เช่า โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 การให้เช่ามีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เพียง 3 ปี
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสั่งกำหนดประเด็นนำสืบ ไม่ได้กำหนดประเด็นนำสืบข้อนี้ไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้น ดังนี้จำเลยจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 249
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสั่งกำหนดประเด็นนำสืบ ไม่ได้กำหนดประเด็นนำสืบข้อนี้ไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้น ดังนี้จำเลยจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณีละเมิดจากการขายสินค้าให้ลูกหนี้ที่ไม่ชำระหนี้ แม้มีการบังคับคดีกับลูกหนี้แล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายผลิตภัณฑ์ของโจทก์ให้แก่ลูกค้าโดยรู้ว่าลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ และโจทก์ได้ยื่นฟ้องลูกค้าจนศาลได้พิพากษาให้ลูกค้าชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้น เห็นว่าตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนพิพาทจากลูกค้า โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ได้เสมอ การฟ้องจำเลยไม่จำเป็นต้องรอให้การบังคับคดีกับลูกค้านั้นเสร็จสิ้นเสียก่อน การที่โจทก์ฟ้องลูกค้าก่อนและบังคับคดีได้เท่าใด มีผลเพียงว่าโจทก์จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายในส่วนนั้นจากจำเลยซ้ำอีกไม่ได้เท่านั้น
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาคดีโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยาน จึงอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไม่ได้แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วยอำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาคดีโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยาน จึงอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไม่ได้แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วยอำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดจากการขายสินค้าให้ลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้มีการบังคับคดีกับลูกหนี้ไปแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายผลิตภัณฑ์ของโจทก์ให้แก่ลูกค้าโดยรู้ว่าลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ และโจทก์ได้ยื่นฟ้องลูกค้าจนศาลได้พิพากษาให้ลูกค้าชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้น เห็นว่าตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนพิพาทจากลูกค้า โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ได้เสมอ การฟ้องจำเลยไม่จำเป็นต้องรอให้การบังคับคดีกับลูกค้านั้นเสร็จสิ้นเสียก่อน การที่โจทก์ฟ้องลูกค้าก่อนและบังคับคดีได้เท่าใด มีผลเพียงว่าโจทก์จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายในส่วนนั้นจากจำเลยซ้ำอีกไม่ได้เท่านั้น
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาคดี โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยาน จึงอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไม่ได้แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วยอำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาคดี โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยาน จึงอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไม่ได้แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วยอำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาตัดสินประเด็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง และการงดสืบพยานที่ไม่ชอบ รวมถึงหน้าที่การนำสืบของคู่ความ
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างนั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อคดีไม่มีประเด็นโต้เถียงกันว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกับในคดีเดิม ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้วินิจฉัยว่าเป็นหนี้รายเดียวกันและระยะเวลาบังคับคดีได้สิ้นสุดลงแล้วแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม หากศาลหยิบยกข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาไป ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมีโอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยานข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมีโอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยานข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาตัดสินคดีบังคับคดี: การวินิจฉัยนอกฟ้องต้องมีประเด็นข้อพิพาท & การงดสืบพยานต้องโต้แย้งทันที
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างนั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อคดีไม่มีประเด็นโต้เถียงกันว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกับในคดีเดิม ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้วินิจฉัยว่าเป็นหนี้รายเดียวกันและระยะเวลาบังคับคดีได้สิ้นสุดลงแล้วแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม หากศาลหยิบยกข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาไป ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18 เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมี โอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยาน ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18 เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมี โอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยาน ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อน หากไม่ชำระจึงบอกเลิกได้ และคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาต้องโต้แย้งทันที
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การบอกกล่าวและการปฏิบัติตามมาตรา 387 และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้นจำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้นจำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368-2369/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาก่อนมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์: ทิ้งฟ้องอุทธรณ์และการจำหน่ายคดี
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยผู้อุทธรณ์ไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์สั่งเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์เกินกำหนดไป 1 วัน เพราะศาลชั้นต้นออกหมายนัดส่งไปยังกองบังคับคดีแพ่งล่าช้า และตามพฤติการณ์ยังไม่สมควรที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีให้ยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จะฎีกาก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษามิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365-2367/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาก่อนมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยผู้อุทธรณ์ ไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์สั่งเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์เกินกำหนดไป 1 วัน เพราะศาลชั้นต้นออกหมายนัดส่งไปยังกองบังคับคดีแพ่งล่าช้า และตามพฤติการณ์ยังไม่สมควรที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี.ให้ยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์จะฎีกาก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษามิได้