พบผลลัพธ์ทั้งหมด 675 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีและการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น: การที่โจทก์ขอเลื่อนสืบพยานไม่ถือว่าประวิงคดี หากมีการโต้แย้งคำสั่งศาลอย่างถูกต้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก โจทก์ยื่นคำร้องว่าทนายป่วยมาศาลไม่ได้พร้อมทั้งส่งใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานไว้ และวันสืบพยานนั้นตัวโจทก์เดินทางไปต่างจังหวัดศาลสอบถามจำเลย จำเลยแถลงว่าแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรตามพฤติการณ์ทั้งหมดนี้ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แกล้งประวิงคดี
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานโจทก์และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ โจทก์ได้ยื่นคำร้องชี้แจงเหตุผลในการที่โจทก์มีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการสืบพยาน ขอให้ศาลนัดไต่สวนและมีคำสั่งให้โจทก์เข้าสืบเช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้วโจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานโจทก์และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ โจทก์ได้ยื่นคำร้องชี้แจงเหตุผลในการที่โจทก์มีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการสืบพยาน ขอให้ศาลนัดไต่สวนและมีคำสั่งให้โจทก์เข้าสืบเช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้วโจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีและการโต้แย้งคำสั่งศาล: โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีพยาน
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก โจทก์ยื่นคำร้องว่าทนายป่วยมาศาลไม่ได้.พร้อมทั้งส่งใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน. ปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานไว้. และวันสืบพยานนั้นตัวโจทก์เดินทางไปต่างจังหวัด. ศาลสอบถามจำเลย จำเลยแถลงว่าแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร. ตามพฤติการณ์ทั้งหมดนี้ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แกล้งประวิงคดี.
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานโจทก์.และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ. โจทก์ได้ยื่นคำร้องชี้แจงเหตุผลในการที่โจทก์มีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการสืบพยาน. ขอให้ศาลนัดไต่สวนและมีคำสั่งให้โจทก์เข้าสืบ. เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว. โจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้.
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานโจทก์.และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ. โจทก์ได้ยื่นคำร้องชี้แจงเหตุผลในการที่โจทก์มีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการสืบพยาน. ขอให้ศาลนัดไต่สวนและมีคำสั่งให้โจทก์เข้าสืบ. เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว. โจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโต้แย้งคำสั่งศาล & สิทธิในการเบิกความ: ศาลต้องให้เวลาคู่ความพอสมควรในการโต้แย้งคำสั่ง และอนุญาตให้คู่ความเบิกความได้
คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เสียก่อน จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ในภายหลัง. แต่ศาลต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้.
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น. ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้.แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น. ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้.
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล. คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว. ทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199วรรคสอง ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ.
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น. ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้.แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น. ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้.
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล. คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว. ทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199วรรคสอง ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโต้แย้งคำสั่งศาลและการขอเลื่อนคดีเพื่อสืบพยานจำเลย: การให้โอกาสคู่ความในการปกป้องสิทธิ
คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เสียก่อน จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ในภายหลัง แต่ศาลต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้ แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว ทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรค 2 ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้ แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว ทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรค 2 ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาและการสิทธิในการโต้แย้ง/อุทธรณ์ รวมถึงสิทธิในการเบิกความของจำเลย
คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เสียก่อน จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ในภายหลังแต่ศาลต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้วทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นได้แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานโจทก์จำเลยไม่ได้มาศาล คงมาแต่ทนายจำเลย เมื่อสืบพยานโจทก์แล้วทนายจำเลยย่อมมีสิทธิขอเลื่อนคดีเพื่อให้โอกาสจำเลยสาบานตนให้การเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393-1395/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่อค้า vs. ที่อยู่อาศัย, การงดสืบพยาน, และคำสั่งศาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กำหนด 15 วันตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 1 ของมาตรา 174 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น หมายความเฉพาะในชั้นยื่นฟ้องและขอหมายเรียกให้จำเลยแก้คดีเท่านั้นจะนำมาใช้ในชั้นฎีกาไม่ได้
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า'เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ฯลฯ' นั้น ย่อมหมายความรวมถึงการที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
คำว่า 'เคหะ' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฯลฯ แต่ห้องพิพาทจำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้าจึงมิใช่เคหะตามความหมายของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 มาตรา 17 โจทก์บอกเลิกการเช่าได้
ถ้าศาลเห็นว่าพยานประเด็นที่จำเลยขอให้ส่งประเด็นไปสืบนั้นเป็นพยานหลักฐานฟุ่มเฟือยเกินสมควร ศาลก็มีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเหล่านั้นเสียได้ ตามนัยมาตรา 86 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณานั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ถ้าจำเลยจะโต้แย้งคำสั่งนั้นอย่างใดก็ชอบที่จะแถลงข้อโต้แย้งให้ศาลชั้นต้นจดลงไว้ในรายงานหรือยื่นคำแถลงโต้แย้งไว้จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า'เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ฯลฯ' นั้น ย่อมหมายความรวมถึงการที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
คำว่า 'เคหะ' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฯลฯ แต่ห้องพิพาทจำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้าจึงมิใช่เคหะตามความหมายของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 มาตรา 17 โจทก์บอกเลิกการเช่าได้
ถ้าศาลเห็นว่าพยานประเด็นที่จำเลยขอให้ส่งประเด็นไปสืบนั้นเป็นพยานหลักฐานฟุ่มเฟือยเกินสมควร ศาลก็มีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเหล่านั้นเสียได้ ตามนัยมาตรา 86 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณานั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ถ้าจำเลยจะโต้แย้งคำสั่งนั้นอย่างใดก็ชอบที่จะแถลงข้อโต้แย้งให้ศาลชั้นต้นจดลงไว้ในรายงานหรือยื่นคำแถลงโต้แย้งไว้จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่โต้แย้ง & ฎีกาขาดอายุความที่ไม่ชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย มิได้ระบุว่าขาดอายุความอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้กล่าวให้ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย มิได้ระบุว่าขาดอายุความอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้กล่าวให้ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่โต้แย้ง และฎีกาขาดอายุความที่ไม่ชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยมิได้ระบุว่าขาดอายุความอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยมิได้ระบุว่าขาดอายุความอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ไม่ใช่คำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ในกรณีร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57นั้น ถ้าบุคคลภายนอกมีคำขอสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะต้องแสดงเหตุที่จะขอเข้ามาในคดี คำขอเช่นนี้เป็นคำคู่ความตามฝ่ายที่เข้าร่วม หรือถ้าไม่เป็นฝ่ายใด แต่เพื่อบังคับตามสิทธิของตนก็เป็นคำฟ้อง ในกรณีที่ถูกเรียกให้เข้ามาในคดีเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ต้องยื่นเอกสารแสดงเหตุว่าเข้ามา ในคดีเพราะเหตุใด ถ้าถูกเรียกเข้ามาเป็นฝ่ายจำเลย จะต้องยื่นคำให้การด้วย ตามมาตรา 177 วรรคท้าย ดังนี้ คำขอและเอกสารแสดงเหตุที่สอดเข้ามาจึงจัดว่าเป็นคำคู่ความถ้าศาลมีคำสั่งไม่ให้เข้ามาในคดี ย่อมมีผลเป็นการไม่รับคำคู่ความ แต่คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ยังไม่มีการขอเข้ามาหรือแสดงเหตุที่เข้ามาเป็นคู่ความ หาใช่เป็นคำคู่ความไม่และมิใช่เป็นการตั้งประเด็นเพราะมิได้เป็นข้อเถียงหรือข้อแก้คำฟ้องแต่ประการใดคำสั่งคำขอชนิดนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้น เมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้วและจำเลยต้องชำระหนี้แล้ว จึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้น เมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้วและจำเลยต้องชำระหนี้แล้ว จึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลย ไม่ใช่คำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ในกรณีร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 นั้นถ้าบุคคลภายนอกมีคำขอสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะต้องแสดงเหตุที่จะขอเข้ามาในคดี คำขอเช่นนี้เป็นคำคู่ความตามฝ่ายที่เข้าร่วม หรือถ้าไม่เป็นฝ่ายใด แต่เพื่อบังคับตามสิทธิของตนก็เป็นคำฟ้อง ในกรณีที่ถูกเรียกให้เข้ามาในคดีเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ต้องยื่นเอกสารแสดงเหตุว่าเข้ามาในคดีเพราะเหตุใด ถ้าถูกเรียกเข้ามาเป็นฝ่ายจำเลย จะต้องยื่นคำให้การด้วย ตามมาตรา 177 วรรคท้าย ดังนี้ คำขอและเอกสารแสดงเหตุที่สอดเข้ามาจึงจัดว่าเป็นคำคู่ความถ้าศาลมีคำสั่งไม่ให้เข้ามาในคดี ย่อมมีผลเป็นการไม่รับคำคู่ความ แต่คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ยังไม่มีการขอเข้ามาหรือแสดงเหตุที่เข้ามาเป็นคู่ความ หาใช่เป็นคำคู่ความไม่ และมิใช่เป็นการตั้งประเด็นเพราะมิได้เป็นข้อเถียงหรือข้อแก้คำฟ้องแต่ประการใดคำสั่งคำขอชนิดนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้ว และจำเลยต้องชำระหนี้แล้วจึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้ว และจำเลยต้องชำระหนี้แล้วจึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)