คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 87 (2)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 182 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 90 หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้การที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่จำเลยก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็ตาม แต่กฎหมายก็ไม่ได้บังคับโดยเด็ดขาดตายตัว หากเอกสารที่อ้างนั้นเป็นพยานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)
โจทก์ได้ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจ และสำเนาบัญชีกระแสรายวันบางส่วนให้แก่จำเลยโดยทางไปรษณีย์ก่อนวันสืบพยานถึง 10 วัน แต่เป็นเพราะการส่งล่าช้า จำเลยจึงได้รับก่อนวันสืบพยานเพียง 1 วัน แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบจำเลย ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเอกสารดังกล่าวไว้แล้ว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเอกสารอันสำคัญนั้น แม้จะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็มีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 90 เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้การที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่จำเลยก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็ตาม แต่กฎหมายก็ไม่ได้บังคับโดยเด็ดขาดตายตัว หากเอกสารที่อ้างนั้นเป็นพยานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) โจทก์ได้ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจ และสำเนาบัญชีกระแสรายวันบางส่วนให้แก่จำเลยโดยทางไปรษณีย์ก่อนวันสืบพยานถึง 10 วันแต่เป็นเพราะการส่งล่าช้า จำเลยจึงได้รับก่อนวันสืบพยานเพียง1 วัน แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบจำเลย ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเอกสารดังกล่าวไว้แล้ว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเอกสารอันสำคัญนั้น แม้จะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็มีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3801/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากเหตุเล่นการพนันในที่ทำงาน และประเด็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน
ข้อบังคับของจำเลยผู้เป็นนายจ้างระบุว่า การเล่นการพนันทุกประเภทในสถานที่ทำการที่บริเวณที่ทำการของจำเลยนอกเวลาปฏิบัติงานและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ถึงจำคุก ถือว่ากระทำผิดวินัย ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดคำสั่งของนายจ้างและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงนั่นเองเมื่อโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเล่นการพนันในสถานที่หรือบริเวณที่ทำการของจำเลยนอกเวลาปฏิบัติงาน จนถูกศาลพิพากษาลงโทษปรับ จำเลยย่อมลงโทษไล่โจทก์ออกจากงานได้ กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เป็นการเคร่งครัดตายตัวว่า หากคู่ความฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการยื่นและการรับฟังพยานหลักฐานแล้วศาลต้องปฏิเสธไม่รับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสมอไป หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเป็นพยานสำคัญในคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ในการสืบพยานจำเลย จำเลยอ้างส่งเอกสารโดยมิได้นำส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ก่อนสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้จำเลยส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ภายในสามวันคำสั่งศาลแรงงานกลางชอบแล้วและศาลรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3801/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากข้อบังคับบริษัทเรื่องการเล่นการพนัน และการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบ
ข้อบังคับของจำเลยผู้เป็นนายจ้างระบุว่า การเล่นการพนันทุกประเภทในสถานที่ทำการที่บริเวณที่ทำการของจำเลยนอกเวลาปฏิบัติงานและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ถึงจำคุก ถือว่ากระทำผิดวินัย ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดคำสั่งของนายจ้างและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงนั่นเอง เมื่อโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเล่นการพนันในสถานที่หรือบริเวณที่ทำการของจำเลยนอกเวลาปฏิบัติงานจนถูกศาลพิพากษาลงโทษปรับ จำเลยย่อมลงโทษไล่โจทก์ออกจากงานได้
กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เป็นการเคร่งครัดตายตัวว่าหากคู่ความฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการยื่นและการรับฟังพยานหลักฐานแล้ว ศาลต้องปฏิเสธไม่รับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสมอไป หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเป็นพยานสำคัญในคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ในการสืบพยานจำเลย จำเลยอ้างส่งเอกสารโดยมิได้นำส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ก่อนสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้จำเลยส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ภายในสามวัน คำสั่งศาลแรงงานกลางชอบแล้วและศาลรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานจากสำนวนคดีอาญาในคดีแพ่ง และการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตโดยไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์เบิกความในคดีแพ่งว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่7 เป็นคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดต่อเจ้าพนักงานต่อศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกับปัญหาในคดีนี้ เมื่อโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและเสียค่าอ้างเอกสารครบถ้วนแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้เรียกสำนวนนั้นมาประกอบการพิจารณา แต่จำเลยได้ส่งคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวต่อศาลก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา สำนวนคดีอาญาจึงเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) ศาลรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนนั้นประกอบการพิจารณาได้
เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่7 ซึ่งเป็นจำเลยรายเดียวกับจำเลยในคดีส่วนอาญา ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็เป็นอย่างเดียวกันดังนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นหลักในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 เป็นพนักงานโรงพยาบาลที่โจทก์เป็นผู้อำนวยการได้ทำบันทึกและให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค และคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยไปตามที่จำเลยได้รู้เห็นในฐานะที่ทำงานร่วมโรงพยาบาลเดียวกับโจทก์หรือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยด้วยตนเองว่าโจทก์ทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการ ซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือตามวิสัยของการติชม ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและการพิจารณาคำพิพากษาคดีอาญาเป็นหลักฐานในคดีแพ่ง
โจทก์เบิกความในคดีแพ่งว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7เป็นคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดต่อเจ้าพนักงานต่อศาลชั้นต้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกับปัญหาในคดีนี้ เมื่อโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและเสียค่าอ้างเอกสารครบถ้วนแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้เรียกสำนวนนั้นมาประกอบการพิจารณาแต่จำเลยได้ส่งคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวต่อศาลก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา สำนวนคดีอาญาจึงเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)ศาลรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนนั้นประกอบการพิจารณาได้ เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นจำเลยรายเดียวกับจำเลยในคดีส่วนอาญา ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็เป็นอย่างเดียวกัน ดังนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นหลักในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46โดยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 เป็นพนักงานโรงพยาบาลที่โจทก์เป็นผู้อำนวยการได้ทำบันทึกและให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาคและคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยไปตามที่จำเลยได้รู้เห็นในฐานะที่ทำงานร่วมโรงพยาบาลเดียวกับโจทก์หรือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยด้วยตนเองว่าโจทก์ทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติราชการซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือตามวิสัยของการติชม ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส. ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทน ส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ ผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวนหนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อมไม่ได้จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์, ศาลไม่รับฟัง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส.ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทนส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวน หนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อม ไม่ได้ จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานจำเลยเนื่องจากไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลา
วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยและทนายทั้งสองฝ่ายมาศาล ลงชื่อทราบนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณา ครั้นถึงวันนัดโจทก์นำพยานเข้าสืบได้ 2 ปาก แถลงหมดพยานโจทก์ จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยาน 3 วัน จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ที่ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการชอบแล้ว
คำร้องขอระบุพยานไม่เป็นคำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความจึงไม่เป็นคำคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
จำเลยมิได้ระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐาน จำเลยไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งมาตรา 87(2) ได้ก็ตาม.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนด ทำให้ศาลงดสืบพยานจำเลยได้อย่างชอบธรรม
วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยและทนายทั้งสองฝ่ายมาศาล ลงชื่อทราบนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณา ครั้นถึงวันนัดโจทก์นำพยานเข้าสืบได้ 2 ปาก แถลงหมดพยานโจทก์ จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยาน 3 วัน จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบที่ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการชอบแล้ว คำร้องขอระบุพยานไม่เป็นคำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความจึงไม่เป็นคำคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ จำเลยมิได้ระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐาน จำเลยไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งมาตรา 87(2) ได้ก็ตาม.
of 19