พบผลลัพธ์ทั้งหมด 182 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5491/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาระงับข้อพิพาทเป็นผลให้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าระงับ แม้ไม่ได้ยกขึ้นเป็นประเด็นในคำให้การ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้
สัญญาระงับข้อพิพาทมีข้อตกลงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1ตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดจากการเช่าห้อง โดยจำเลยที่ 1ยินยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่าและโจทก์ตกลงจ่ายค่าตอบแทนการขนย้ายให้แก่จำเลยที่ 1 สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้การเรียกร้องตามสัญญาเช่าห้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำขึ้นระหว่างการสืบพยานจำเลยหลังจากโจทก์ฟ้องและจำเลยยื่นคำให้การแล้วเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้แม้ไม่มีการกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อคู่ความยอมรับว่าได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจริง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่าดังกล่าว ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้มิได้เป็นประเด็นแห่งคดี แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทไม่ได้เป็นประเด็นแห่งคดีมาแต่ต้นจำเลยจึงไม่ต้องยื่นบัญชีระบุอ้างพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และมาตรา 88เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จำเลยทั้งหมดเป็นลูกหนี้ร่วมและหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดเป็นหนี้ร่วมการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับจำเลยอื่นย่อมได้รับประโยชน์คือหลุดพ้นจากหนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมในคดีล้มละลาย: ศาลมีอำนาจรับฟังได้หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการ
จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเพื่อจะนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างคำพยานโจทก์และให้เห็นว่าตนมีทรัพย์สินซึ่งมีราคาพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือไม่ควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดี และพยานหลักฐานดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าว ก็มีอำนาจที่จะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งในชั้นนี้และในกรณีนี้หมายถึงมีอำนาจอนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติม และทำการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้เอง ส่วนการสืบพยานที่จะกระทำต่อไปนั้น คู่ความยังคงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกระบวนพิจารณาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 หรือมาตรา 89 เป็นต้นแล้วแต่กรณี วิธีการนำสืบพยานหลักฐานในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่มาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483บัญญัติไว้ว่าในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้ ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 นั้น มิได้หมายความว่าศาลจำต้องรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบโดยวิธีที่มิชอบด้วยกฎหมาย เอกสารแสดงการตีราคาทรัพย์สินที่บริษัทเอกชนทำขึ้นซึ่งจำเลยนำมาเป็นพยานหลักฐานด้วยการถ่ายสำเนามาโดยไม่มีต้นฉบับมาแสดงและโจทก์จำเลยมิได้ตกลงกันว่าสำเนาเอกสารฉบับดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้นำสำเนามาสืบเนื่องจากต้นฉบับหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นและมิใช่สำเนาเอกสารที่อยู่ในความอารักขาของทางราชการที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรับรองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 แต่อย่างใดยิ่งกว่านั้นการนำสืบเอกสารดังกล่าวของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์ที่นำสืบถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่กฎหมายสันนิษฐานว่า มีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ในเวลาที่พยานโจทก์เบิกความ จำเลยหาได้นำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านเพื่อให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายข้อความในเอกสารดังที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 กำหนดไว้ไม่ เอกสารดังกล่าวจึงเข้าสู่การพิจารณาของศาลโดยมิชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เมื่อโจทก์ได้คัดค้านแล้วดังนั้น เอกสารและคำพยานที่เกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว จึงเป็นเอกสารและคำพยานที่ต้องห้าม จะรับฟังหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3511/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน (ใบมรณบัตร) แม้มิได้ปฏิบัติตามมาตรา 90 ว.พ.พ. หากโจทก์ไม่เสียเปรียบ
จำเลยยื่นบัญชีพยานระบุอ้างใบมรณบัตรเป็นพยานไว้ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ทั้งได้ส่งเอกสารดังกล่าวประกอบการถามค้านพยานโจทก์ปากแรกด้วย โจทก์จึงย่อมทราบข้อความของเอกสารใบมรณบัตรก่อนสืบพยาน โจทก์เสร็จสิ้นและมีโอกาสนำพยานมาสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้ การที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 โดยมิได้ส่งสำเนาใบมรณบัตรให้แก่โจทก์ล่วงหน้าก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันนั้นจึงไม่ได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่อย่างใด นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดเจนและฝ่าฝืนข้อกำหนดการยื่นพยานหลักฐาน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับฟัง
จำเลยฎีกาว่า การดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริตจะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี 2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคม สิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน2531 คดีของโจทก์จะขาดอายุความ พยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด และข้อกฎหมายเป็นอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่า น่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดเจนและยื่นพยานหลักฐานเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า การดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริตจะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี 2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคมสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2531 คดีของโจทก์จะขาดอายุความพยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใดและข้อกฎหมายเป็นอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่า น่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้นเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 331/2533ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ สิทธิในที่ดิน การพิสูจน์การครอบครอง และการใช้ดุลพินิจของศาล
แม้ว่าผู้คัดค้านจะมิได้ปฏิเสธข้ออ้างในคำร้องของผู้ร้องที่ว่า ต.ซื้อที่พิพาทโดยใส่ชื่อช. ไว้ก็ตาม แต่ผู้คัดค้านก็ได้บรรยายไว้ในคำร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิที่ผู้คัดค้านได้มาโดยซื้อมาจาก ช. ตามส่วนที่ช.เจ้าของเดิมมีอยู่ช. ได้บอกขายที่พิพาทก่อนผู้คัดค้านซื้อเป็นเวลานาน ถือว่าผู้คัดค้านได้กล่าวไว้ในคำร้องคัดค้านแล้วว่าช. เป็นเจ้าของที่พิพาท ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ม.มอบที่ดินให้แก่ ช. เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมเงินไปนั้น จึงเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการเป็นเจ้าของที่พิพาทซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธิที่จะนำสืบได้ แม้ว่าผู้คัดค้านกล่าวในคำร้องคัดค้านเพียงว่า ช.เจ้าของเดิมได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทตลอดมาไม่เคยทอดทิ้งก็ตามผู้คัดค้านก็ชอบที่จะนำสืบได้ว่า ช. ให้ จ. ป. และบุคคลอื่นเช่าที่พิพาทเพราะเป็นการนำสืบว่า ผู้คัดค้านได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทโดยให้บุคคลอื่นครอบครองแทน เป็นการนำสืบตามประเด็นที่เกิดจากคำร้องคัดค้าน หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นไม่ แม้ว่าผู้คัดค้านอ้างเอกสารหมาย ค.10ค.11ค.15ถึงค.20และ ค.23โดยอ้างว่าอยู่ในความครอบครองของช. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านได้ความว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ก็ตาม แต่เมื่อตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ปรากฏว่าศาลได้รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้าน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ สำหรับเอกสารหมาย ค.10และค.17 แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 87(2) นั้น ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ เมื่อปรากฏว่าเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพราะเอกสารหมาย ค.10 เป็นสัญญากู้ทำขึ้นระหว่างผู้ร้องกับ ช. และผู้ร้องก็ได้นำสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าวด้วย ส่วนเอกสารหมาย ค.17 เป็นใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2513 ถึงปี 2525 ของ ช.จำนวน13ฉบับซึ่งช.ได้ส่งศาลตามคำสั่งเรียกก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือนผู้ร้องจึงมีโอกาสตรวจดูเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้วการที่ผู้คัดค้านมิได้ส่งสำเนาให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้อง ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านได้ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของผู้คัดค้านอันดับ 8 ระบุว่า"เอกสารเรื่องราวการจดทะเบียนนิติกรรมตลอดจนบันทึกข้อความ แผนที่หรือถ้อยคำบุคคลใด ๆ หรือหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงานราชการ หรือบุคคล หรือเอกสารทุกชนิด ทุกฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินเลขที่ 906 ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดทำและเก็บรักษาไว้ในแฟ้มเรื่องราวของโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวทั้งหมดทุกฉบับ อยู่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ" เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกคำบันทึกของ ส.ช่างแผนที่ที่ได้บันทึกถ้อยคำของ ฮ. ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน2528 คือวันทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 906หน้าโฉนด 156 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารบันทึกถ้อยคำของ ฮ. ไปให้ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้หมายเอกสารนั้นเป็นเอกสารหมาย ค.49จึงฟังได้ว่าเอกสารหมายค.49เป็นเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอันดับที่ 8 ของผู้คัดค้าน ถือได้ว่าผู้คัดค้านได้ระบุอ้างพยานเอกสารฉบับนี้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 วรรคสอง แล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารหมาย ค.49ของผู้คัดค้านไว้เป็นพยานหลักฐานและอนุญาตให้ผู้คัดค้านนำสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสารฉบับนี้จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย จำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลจะกำหนดให้คู่ความฝ่ายหนึ่งใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นดุลพินิจของแต่ละศาลซึ่งจะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง โดยศาลต้องกำหนดค่าทนายความระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของผู้ร้องมิได้บรรยายว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ในข้อไหน เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงขึ้นกล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4177/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารและการผูกพันตามฐานตัวแทนเมื่อมีการชำระหนี้ผ่านตัวแทน
จำเลยที่ 1 ยื่นบัญชีระบุเอกสารหมาย ล.1 เป็นพยานไว้แล้วตามบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 15 สิงหาคม 2528 ส่วนที่จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอระบุเอกสารหมาย ล.1 เป็นพยานเพิ่มเติมตามคำร้องและบัญชีพยานฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2528 ซึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตนั้น เป็นการยื่นบัญชีระบุพยานมาซ้ำซ้อน ทั้งตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ขอส่งต้นฉบับเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาลเพราะจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำจำเลยที่ 2 มาสืบประกอบกับพยานเอกสารนั้นได้ กรณีเช่นนี้อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าจะรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวหรือไม่ มิใช่ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ได้ยื่นต่อศาลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงรับฟังไม่ได้ สัญญาที่โจทก์ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์ให้โจทก์ มีข้อความในข้อ 9 ค. ระบุว่า "เมื่อผู้จำหน่ายได้เงินค่าเช่าซื้อจากลูกค้าแล้วจะต้องรีบส่งเงินจำนวนนั้นทั้งหมดให้แก่บริษัท พร้อมรายละเอียดโดยครบถ้วนภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ผู้จำหน่ายได้รับจากลูกค้า" ย่อมถือได้ว่า นอกจากโจทก์จะตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จำหน่ายแล้ว ยังให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนรับเงินจากลูกค้าของโจทก์ได้ด้วย การรับเงินค่ารถแทรกเตอร์ของจำเลยที่ 2ไว้จากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการปฏิบัติการไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน โจทก์ซึ่งเป็นตัวการต้องผูกพันต่อการชำระหนี้ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบ และการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญา
แม้โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า3 วัน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารเพราะเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี อันเป็นอำนาจตามมาตรา 87(2) จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่ตรงตามงวดที่ได้กำหนดเวลาชำระไว้ในสัญญากู้ แต่โจทก์ก็ได้รับเงินไว้แล้วนำไปหักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินที่ค้างชำระเรื่อยมาแสดงว่าโจทก์มิได้ถือกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญากู้เป็นสำคัญเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์อีก จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในต้นเงินที่ค้างชำระตั้งแต่วันถัดจากวันที่ชำระเงินครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานและการผิดนัดชำระหนี้
แม้โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 แต่ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารเพราะเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี อันเป็นอำนาจตามมาตรา 87 (2) จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่ตรงตามงวดที่ได้กำหนดเวลาชำระไว้ในสัญญากู้ แต่โจทก์ก็ได้รับเงินไว้แล้วนำไปหักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินที่ค้างชำระเรื่อยมาแสดงว่าโจทก์มิได้ถือกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญากู้เป็นสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์อีก จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในต้นเงินที่ค้างชำระตั้งแต่วันถัดจากวันที่ชำระเงินครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป
จำเลยผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่ตรงตามงวดที่ได้กำหนดเวลาชำระไว้ในสัญญากู้ แต่โจทก์ก็ได้รับเงินไว้แล้วนำไปหักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินที่ค้างชำระเรื่อยมาแสดงว่าโจทก์มิได้ถือกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญากู้เป็นสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์อีก จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในต้นเงินที่ค้างชำระตั้งแต่วันถัดจากวันที่ชำระเงินครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 497/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ดุลพินิจศาลรับฟังพยานหลักฐานเกินกำหนดระยะเวลา เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนมาตรา 88 และมาตรา 90 แต่ในมาตรา 87(2) นั้นเองบัญญัติต่อไปว่า "...แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้"เมื่อพยานบุคคลที่จำเลยอ้างเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดีส่วนพยานเอกสารที่จำเลยอ้างก็เป็นชุดเดียวกับที่โจทก์อ้างทั้งจำเลยขอยื่นบัญชีพยานในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน แม้จะสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก ก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เนื่องจากเป็นการนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์เท่านั้น ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงชอบแล้ว