คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไมตรี สุเทพากุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 247 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15698/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เครื่องหมายการค้า: การพิจารณาความบ่งเฉพาะของเครื่องหมายที่มาจากชื่อบริษัทและภาษาต่างประเทศ
คำว่า หรือ ของเครื่องหมายบริการ และ ตามคำขอทั้งสี่คำขอของโจทก์มาจากตัวอักษรโรมันคำว่า ซึ่งเป็นชื่อของโจทก์ ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่ามีแหล่งข้อมูลอื่นที่ให้ความหมายคำว่า เป็นคำย่อในภาษาเยอรมันซึ่งหมายถึงสมาคมที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคเช่นเดียวกับเอกสารที่จำเลยอ้าง ทั้งปรากฏในเอกสารดังกล่าวด้วยว่าคำดังกล่าวซึ่งเป็นคำย่อยังมีอีกหลายความหมาย จำเลยก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าบุคคลที่มีความรู้ภาษาเยอรมันหรือบุคคลที่มีความรู้ทางด้านการให้คำแนะนำทางเทคนิคต่าง ๆ ทราบดีว่า คำว่า เป็นคำย่อในภาษาเยอรมันซึ่งหมายถึงสมาคมที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค แม้คำว่า เป็นคำย่อซึ่งหมายถึงสมาคมที่ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคก็ตาม แต่คำดังกล่าวก็ไม่เป็นคำที่ผู้ใช้บริการสามารถทราบได้ว่าเกี่ยวข้องกับบริการจำพวกที่ 35 และ 42 ตามที่โจทก์ขอจดทะเบียน คำว่า และ ที่โจทก์ขอจดทะเบียนจึงไม่ใช่คำหรือข้อความที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของบริการโดยตรง เครื่องหมายบริการของโจทก์ทั้งสี่คำขอ จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 6 และ มาตรา 7 ประกอบมาตรา 80 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 อันพึงรับจดทะเบียนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15697/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อมูลลูกค้าทั่วไปไม่ใช่ความลับทางการค้า แม้มีระบบรักษาความลับ หากเข้าถึงได้จากแหล่งเปิด
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ว่า รายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 เอาไปนั้นคือข้อมูลใดและเป็นความลับทางการค้าของโจทก์อย่างไร โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะพิเศษอย่างไรจึงเป็นข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่กลับได้ความจากพยานโจทก์ว่า รายชื่อลูกค้าอาจได้มาจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่บริษัทต่างๆ ลงประกาศรับสมัครงานหรือจากเว็บไซต์ ดังนั้นรายชื่อลูกค้า ชื่อคนติดต่อ และหมายเลขโทรศัพท์ รวมทั้งที่อยู่ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของลูกค้าจึงเป็นเพียงข้อมูลการค้าทั่วไปเท่านั้น แม้จะมีประโยชน์ในทางพาณิชย์ต่อโจทก์อยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นความลับทางการค้าเพราะไม่มีคุณค่าทางพาณิชย์ตามความหมายใน พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 3 เนื่องจากข้อมูลการค้าที่มีประโยชน์ในทางพาณิชย์ดังกล่าวต้องมีผลต่อการดำรงคงอยู่ของธุรกิจการค้าที่กระทำอยู่หรือที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคต หรือการดำรงคงอยู่ของธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลดังกล่าวเป็นสำคัญ และผู้เป็นเจ้าของข้อมูลการค้าได้ใช้เวลาและความพยายามกับค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อจะได้ข้อมูลนั้นมา ซึ่งคู่แข่งทางการค้าที่ได้ข้อมูลนี้ไปโดยไม่ชอบจะทุ่นเวลาและแรงงานในการหาหรือเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างมาก และทำให้เจ้าของความลับเสียเปรียบในทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีรหัสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ แต่เมื่อข้อมูลการค้าดังกล่าวบุคคลหรือบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจรับจัดหางานทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้ จึงถือไม่ได้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับทางการค้าซึ่งโจทก์มีสิทธิในการเปิดเผยหรือใช้เพียงผู้เดียวตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาตรา 5 การที่จำเลยที่ 2 นำชื่อลูกค้าของโจทก์ไปประกาศโฆษณาในอินเตอร์เน็ต หรือการที่จำเลยที่ 2 รับจัดหาพนักงานให้บริษัทซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าของโจทก์ตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาตรา 6
ส่วนสัญญาและกลยุทธ์ทางการค้าที่โจทก์นำสืบว่าเป็นความลับทางการค้าของโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องและไม่สามารถนำสืบได้ว่ากลยุทธ์และสัญญาของโจทก์มีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากกลยุทธ์และสัญญาอื่นๆ อย่างไร หากกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นความชำนาญหรือทักษะเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ที่เกิดจากการทำงานกับโจทก์ก็มิใช่ความลับทางการค้าและจำเลยที่ 1 มีสิทธินำความชำนาญและทักษะดังกล่าวไปใช้ทำงานที่อื่นได้หากไม่มีการจำกัดสิทธิดังกล่าวในสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15250/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดค่าปรับจากผิดสัญญาประกันในคดียาเสพติด: คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดเป็นที่สุด
คำร้องขอลดค่าปรับเป็นผลสืบเนื่องมาจากผู้ประกันทั้งสองผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามนัดในคดีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งการจะลดค่าปรับให้แก่ผู้ประกันทั้งสองหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำความผิด ความหนักเบาแห่งข้อหาและการผิดสัญญาประกันประกอบด้วย ดังนั้น คำร้องขอลดค่าปรับถือว่าเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด และกรณีผิดสัญญาประกันและขอลดค่าปรับ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 119 มาใช้บังคับตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14975/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความประมาทในการขับขี่และการชนเนื่องจากรถเบี่ยงเลน ไม่เข้าข่ายประมาทตามกฎหมายจราจร
แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ" ก็ตาม แต่ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์เยื้องไปทางด้านหลังซ้ายรถยนต์ที่ ร. ขับ ดังนี้ จำเลยจึงขับรถอยู่คนละช่องเดินรถกับรถที่ ร. ขับ และเหตุที่รถที่จำเลยขับชนรถที่ ร. ขับเนื่องมาจาก ร. เบี่ยงรถมาทางด้านซ้าย กรณีจึงถือไม่ได้ว่ารถที่ ร. ขับเป็นรถคันหน้าที่จำเลยต้องขับรถให้ห่างพอสมควรที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14919/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งในคดีอาญา: จำเป็นต้องให้ผู้เสียหายสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ และค่าขาดไร้อุปการะ โจทก์ร่วมจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 แต่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ให้โจทก์ร่วมนำพยานเข้าสืบในคดีส่วนแพ่งและโจทก์ร่วมก็ไม่ได้แถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานในคดีส่วนแพ่ง แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 44/2 บัญญัติว่า "...และเมื่อพนักงานอัยการสืบพยานเสร็จ ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายนำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหมทดแทนได้เท่าที่จำเป็น..." ซึ่งกำหนดให้เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะอนุญาตให้โจทก์ร่วมนำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้เท่าที่จำเป็นก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่พนักงานอัยการโจทก์นำสืบเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยและความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว เมื่อคดีนี้พนักงานอัยการโจทก์ไม่ได้นำพยานเข้าสืบเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลย เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพและไม่ใช่คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เช่นนี้ ศาลชั้นต้นต้องให้โจทก์ร่วมนำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องของโจทก์ร่วม เมื่อศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการดังกล่าวแล้วกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมโดยวินิจฉัยตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยไม่ชอบ จึงต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนแพ่ง แล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ร่วมและจำเลยแล้วพิพากษาในคดีส่วนแพ่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13923/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การมีวัตถุระเบิดและการกระทำความผิดจนผู้อื่นเสียชีวิต
การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง แล้วใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวปาใส่บุคคลที่นั่งชมการแสดงหมอลำจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส และผู้เสียหายที่ 4 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาเดียวคือกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย กับผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้และฐานใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ฐานกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายสาหัส ฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13649/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่มีประโยชน์เมื่อคดีถึงที่สุด: การส่งฎีกาให้อัยการสูงสุดเพื่อรับรองไม่กระทบผลคดีที่ศาลฎีกายกคำร้อง
ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา เพื่อขอให้ส่งฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นยังไม่อ่านคำสั่งของศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลฎีกาซึ่งมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ เท่ากับศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีจึงถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จะให้ยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์แก่คดีที่จะวินิจฉัยต่อไป ให้จำหน่ายคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13467/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟอกเงิน: ทรัพย์สินจากความผิดมูลฐาน (ยาเสพติด, หนีศุลกากร) ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ต้องพิสูจน์ที่มา
ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรอันเป็นความผิดมูลฐานหนึ่งที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงอุทธรณ์เถียงแต่เฉพาะว่าผู้คัดค้านที่ 1 มิได้มีพฤติการณ์เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังยุติว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 3 (7) ซึ่งศาลย่อมมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13398/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์ตัวแทนและการยักยอกทรัพย์ การจำนำทรัพย์ของตัวการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดฐานยักยอก
โจทก์ร่วมและจำเลยมีข้อตกลงกันว่า หากลูกค้าต่อรองราคาต่างหูเพชรพิพาทจำเลยจะต้องโทรศัพท์สอบถามโจทก์ร่วมก่อนว่าสามารถขายในราคาดังกล่าวได้หรือไม่ ข้อตกลงนี้มีผลทำให้จำเลยไม่มีอิสระในการกำหนดราคาขายได้จริง นิติกรรมระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยจึงมิใช่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็นการที่โจทก์ร่วมมอบต่างหูเพชรของกลางแก่จำเลยให้ไปขายแทนโจทก์ร่วม ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นเรื่องตัวแทน โดยจำเลยเป็นตัวแทนขายต่างหูเพชรของกลางให้แก่ลูกค้าแทนโจทก์ร่วมผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลยครอบครองต่างหูเพชรของกลางของโจทก์ร่วมแล้วนำไปจำนำไว้แก่บุคคลอื่น จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังต่างหูเพชรของกลางของโจทก์ร่วมโดยเจตนาทุจริตเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13307/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ไม่ใช่หนี้ตาม ป.พ.พ. จึงไม่มีอายุความ
การกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติไปจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นเมื่อเข้ารับตำแหน่ง หรือร่ำรวยผิดปกติซึ่งรวมถึงการได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้สั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 75, 80 และมาตรา 81 นั้น ต่างจากหนี้ที่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าหนี้ในการที่จะบังคับให้ลูกหนี้กระทำการหรืองดเว้นการอันใดอันหนึ่งเพื่อชำระหนี้ตามมูลแห่งหนี้ที่สามารถบังคับกันได้ตามกฎหมายดังเช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะการที่ผู้ร้องขอให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านตกเป็นของแผ่นดินตามคำร้อง แม้เป็นการบังคับเอาจากทรัพย์สินซึ่งอาจเป็นผลให้ผู้คัดค้านต้องสูญเสียทรัพย์สินหากพิสูจน์ได้ว่ามีการได้ซึ่งทรัพย์สินโดยมิชอบตามเงื่อนไขที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด ก็เป็นผลจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบด้วยหน้าที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนมีความมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ประพฤติทุจริตไม่อาจยึดถือทรัพย์สินไว้ได้ต่อไปอันเป็นผลทางกฎหมายที่มิได้ก่อขึ้นจากหนี้อันเป็นมูลเหตุแห่งสิทธิเรียกร้องที่ผู้คัดค้านสามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้ และอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 75 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้ต้องกล่าวหากรณีร่ำรวยผิดปกติภายในสองปีนับแต่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ และมาตรา 83 ได้บัญญัติให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาภายในสิบปี เป็นบทบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อเร่งรัดให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุตามข้อกล่าวหา ทำนองเดียวกับมาตรา 81 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นการกำหนดหน้าที่เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย หาใช่การใช้สิทธิเรียกร้องที่ต้องกระทำภายในกำหนดอายุความและเพียงการที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 80 บัญญัติว่า ให้นำ ป.วิ.พ. มาใช้บังคับแก่กรณีตาม (2) (3) (4) โดยอนุโลมก็เป็นการกำหนดถึงการดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับแก่คดีนี้ด้วยแต่ประการใด
of 25