พบผลลัพธ์ทั้งหมด 375 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถบรรทุกในการค้าขายและการรับจ้างบรรทุกสินค้าไม่ถือเป็นการผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะจำกัดความรับผิดในกรณีนำรถบรรทุกที่เอาประกันภัยไปรับจ้างบรรทุกก็ตาม แต่การที่ผู้เอาประกันภัยนำรถดังกล่าวบรรทุกสินค้าของตนไปส่งลูกค้า แล้วขากลับได้รับจ้างบรรทุกสินค้าอื่นกลับเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวและเกิดเหตุขึ้น ยังไม่พอถือว่าผู้เอาประกันภัยนำรถไปใช้ผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย เพราะยังเป็นการใช้รถในกิจการค้าขายของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีอาชีพค้าขายและมีรถยนต์ไว้บรรทุกสินค้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยความรับผิดทางละเมิดของนายจ้าง จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริง หากไม่มี ถือเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐาน
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่2เป็นนายจ้างจำเลยที่1และจำเลยที่1กระทำไปในทางการที่จ้างอันเป็นผลให้จำเลยที่2กับจำเลยที่4ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุต้องรับผิดร่วมในการละเมิดของจำเลยที่1ต่อโจทก์เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นดังกล่าวเลยการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นจึงเป็นการวินิจฉัยโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่2ที่4เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่2ที่4จึงเป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน การรับผิดของนายจ้างในความเสียหายจากการกระทำของลูกจ้าง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้าง อันเป็นผลให้จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุ ต้องรับผิดร่วมในการละเมิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นดังกล่าวเลย การรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นการวินิจฉัยโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 4 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 4 จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับเจ้าของรถ หากเจ้าของรถไม่มีส่วนรับผิด ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 7 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ อันเป็นรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้คดีได้ความแต่เพียงว่า จำเลยที่1 ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุซึ่งเป็นรถของ ช. และช.เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทจำเลยที่ 7 เท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏไว้เลยว่า จำเลยที่1 ขับรถยนต์ของ ช. คันดังกล่าวในฐานะอะไร และมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรกับ ช. จึงฟังไม่ได้ว่า ช. เจ้าของรถคันดังกล่าวมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 อันจะเป็นเหตุให้ ช. ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ครั้งนี้ จำเลยที่ 7 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ ช. ต้องรับผิดชอบ เมื่อ ช.ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การรับช่วงสิทธิประกันภัย และความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง
แม้ในคดีอาญาศาลจะฟังว่าจำเลยที่5ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถชนกันส่วนจำเลยที่1ไม่ได้ประมาทก็ตามแต่เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวโจทก์จึงไม่ถูกผูกพันโดยคำพิพากษาคดีอาญาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46โจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานว่าจำเลยที่1ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถชนกันได้. การที่เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่1และที่5ซึ่งจำเลยที่6ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่5ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้นแม้จำเลยที่7จะรับประกันภัยค้ำจุนรถที่จำเลยที่5ขับโดยมีว.เป็นผู้เอาประกันภัยก็ตามแต่โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องหรือนำสืบให้รับฟังได้ว่าว.มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่5อันจะเป็นเหตุให้ว.จะต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่5ดังนั้นจำเลยที่7ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528)
การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตน แล้วนำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่าเป็นงานที่พึงทำให้เปล่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตน แล้วนำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่าเป็นงานที่พึงทำให้เปล่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการจ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528) การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุ ชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนแล้ว นำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า เป็นงานที่พึงทำให้เปล่า. เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุ ชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนแล้ว นำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า เป็นงานที่พึงทำให้เปล่า. เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4324/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือจึงมีผลบังคับใช้ การประกันภัยครอบคลุมความเสียหายต่อบุคคลภายนอก
สัญญาเช่าซื้อกฎหมายบังคับให้ทำหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ทำสัญญาเช่าซื้อกันวันใดก็มีผลใช้บังคับได้ในวันนั้น ฉะนั้นแม้โจทก์จะได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อมาใช้แล้วเกิดเหตุก่อนวันทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของรถและยังไม่ใช่ผู้เช่าซื้อในขณะเกิดเหตุ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาของตัวรถยนต์.
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า "บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย" ดังนั้นค่าขาดประโยชน์ในการที่ไม่ได้ใช้รถและค่าเช่ารถผู้อื่นมาใช้ในระหว่างซ่อมรถของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่มีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า "บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย" ดังนั้นค่าขาดประโยชน์ในการที่ไม่ได้ใช้รถและค่าเช่ารถผู้อื่นมาใช้ในระหว่างซ่อมรถของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่มีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุนเมื่อเกิดความเสียหายจากความประมาทของผู้อื่น และการโต้แย้งเรื่องประเด็นข้อพิพาท
จำเลยที่ 2 กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำเบิกความของ ส.พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัด จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเข้าใจ คำฟ้องของโจทก์ได้ดี โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์เสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ
แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์เสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัย: ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดเมื่อผู้ขับขี่ประมาท แม้จะมีการต่อสู้เรื่องความประมาทของฝ่ายอื่น
จำเลยที่ 2 กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะ คำเบิกความของส.พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัดจำเลยที่2 ไม่สามารถเข้าใจ คำฟ้องของโจทก์ได้ดีโดยจำเลยที่2 ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลเท่านั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้อง ของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่จำเลยที่2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็น ความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาท ของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์ เสียหายไม่ถึงตามฟ้องศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วยเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทน จำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2อุทธรณ์ ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ