พบผลลัพธ์ทั้งหมด 375 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารแปลในคดีแพ่ง & ประเด็นข้อต่อสู้ที่มิได้กำหนดไว้
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 นั้นหมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยพร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัย ดังกล่าวโดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1451/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนทำสัญญาประกันภัยแทนตัวการ การรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน
รถยนต์ที่ บ.เอาไปประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยที่ 2 เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 โดย บ.เป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ 1 ในสัญญาประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไว้จริงจึงน่าเชื่อว่า บ.เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 โดยไม่เปิดเผยชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยที่ 1 เอารถยนต์ไปประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและรับเอาสัญญาประกันภัยซึ่ง บ.ตัวแทนได้ไว้แทนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ 1 มาวินิจฉัย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันหาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้วไม่
โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ 1 มาวินิจฉัย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันหาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้วไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1451/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันภัยค้ำจุน: ตัวแทนทำสัญญาแทนตัวการ และความรับผิดตามสัญญา
รถยนต์ที่ บ.เอาไปประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยที่ 2 เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 โดย บ.เป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ 1 ในสัญญาประกันภัยก็ลงที่อยู่ของ บ.ที่เดียวกับที่ตั้งของห้างจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 รับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไว้จริง จึงน่าเชื่อว่า บ.เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 โดยไม่เปิดเผยชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยที่ 1 เอารถยนต์ไปประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและรับเอาสัญญาประกันภัยซึ่ง บ.ตัวแทนได้ทำไว้แทนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ 1 มาวินิจฉัย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากัน หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้วไม่
โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ 1 มาวินิจฉัย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากัน หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้วไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารแปลในคดีแพ่ง และประเด็นข้อต่อสู้ที่ไม่ได้รับการกำหนดเป็นประเด็นโดยศาล
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 นั้น หมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลย พร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว โดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุน จำเลยที่ 1 และ บ.ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่ง มาตรา 226, 249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุน จำเลยที่ 1 และ บ.ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่ง มาตรา 226, 249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากผู้เอาประกันภัยไม่มีความรับผิดในความเสียหายจากการละเมิด
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการละเมิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 ให้รับผิด
ปัญหาอำนาจฟ้องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ได้
ปัญหาอำนาจฟ้องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบริษัทประกันภัยเมื่อเจ้าของรถยินยอมให้ผู้อื่นขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ
บ. เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ ได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทจำเลยร่วม บ. ยินยอมให้จำเลยนำรถคันดังกล่าวไปใช้จำเลยขับไปชนรถยนต์ของผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ แม้ว่าโจทก์จะมิได้ฟ้อง บ. ผู้เอาประกันภัยให้รับผิด แต่เมื่อบริษัทจำเลยร่วมยอมรับว่า หากผู้เอาประกันภัยยินยอมให้ผู้ใดขับรถคันที่เอาประกันไว้แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น บริษัทจำเลยร่วมจะต้องรับผิดชอบด้วย บริษัทจำเลยร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัยค้ำจุนและการแบ่งแยกความรับผิดในหนี้ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดความรับผิดของผู้รับประกันและผู้เอาประกัน
จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนอันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแทนในนามจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัย กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกากำหนดค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยที่ 2 รับผิดน้อยลง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาก็ตาม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 245(1),247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรก็ให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพียงเท่าที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัย: จำเลยไม่ต้องรับผิดหากเจ้าของรถยนต์ไม่มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของ ป. คดีได้ความแต่เพียงว่าความเสียหายเกิดเพราะ จ. ขับรถยนต์ของ ป. ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือนำสืบให้รับฟังได้ว่า จ. ขับรถยนต์ของ ป. ไปในฐานะอะไร และมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับ ป. อันจะเป็นเหตุให้ ป. ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ จ. เมื่อ ป. ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุน: ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงจะทำให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะตองรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยค้ำจุน: ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนต้องรับผิดในความเสียหาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887วรรคหนึ่งผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วน จ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก. ด้วยทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า ก. มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
โจทก์ฟ้องว่า จ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วน จ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก. ด้วยทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า ก. มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน