พบผลลัพธ์ทั้งหมด 159 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมไม่เพิ่มขึ้นจากการทำถนน หรือใช้ทางร่วม แม้จะอ้างเป็นทางสาธารณะ การใช้ทางของเจ้าของที่ดินติดกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การทำถนนคอนกรีตบนทางภารจำยอมไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 33/2503)
่จดทะเบียนภารจำยอมว่าเป็นทางเดิน ของผู้ที่อยู่ในโฉนดซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของ แต่แล้วใช้ทางนี้เป็นทางรถด้วยก็ดี หรือมีคนอื่นซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดของจำเลยได้ใช้เป็นทางเดินด้วยก็ดี ก็ยังไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม
เมื่อการจดทะเบียนภารจำยอมยังคงอยู่แม้ผู้ใช้ทางนั้น จะอ้างว่าเป็นทางสาธารณก็ไม่ถือว่าสละสิทธิภารจำยอม (ย่อ ก.ม. มาตรา 140 แห่ง ป.วิ.พ. อยู่ตอนท้าย)
่จดทะเบียนภารจำยอมว่าเป็นทางเดิน ของผู้ที่อยู่ในโฉนดซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของ แต่แล้วใช้ทางนี้เป็นทางรถด้วยก็ดี หรือมีคนอื่นซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดของจำเลยได้ใช้เป็นทางเดินด้วยก็ดี ก็ยังไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม
เมื่อการจดทะเบียนภารจำยอมยังคงอยู่แม้ผู้ใช้ทางนั้น จะอ้างว่าเป็นทางสาธารณก็ไม่ถือว่าสละสิทธิภารจำยอม (ย่อ ก.ม. มาตรา 140 แห่ง ป.วิ.พ. อยู่ตอนท้าย)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาซื้อขายที่ดิน, การบังคับตามสัญญา, สิทธิทางเดิน, การจดทะเบียน
คดีแพ่ง ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หากแต่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยโดยเฉพาะ ไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชนหรือบุคคลภายนอกแต่ประการใด ถ้าจำเลยเห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยก็ชอบที่จะระวังผลประโยชน์ของตนเองโดยต่อสู้ไว้เสียตั้งแต่ศาลชั้นต้น คดีแพ่งหาเหมือนกับคดีอาญาไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ก็เป็นความบกพร่องของตนเองไม่เกี่ยวกับผู้อื่น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้อนี้
จำเลยทำสัญญาขายส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของตนให้โจทก์ โดยจำเลยยอมตกลงทำถนนในที่ดินของจำเลยแปลงที่ติดต่อกัน เพื่อโจทก์จะได้ใช้เป็นทางออกสู่ถนนหลวงได้ เมื่อโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้วหากจำเลยไม่ยอมทำถนนดังกล่าว โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีเช่นนี้ จำเลยจะเถียงว่านิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 หาได้ไม่ เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2503 เฉพาะปัญหาข้อแรก)
จำเลยทำสัญญาขายส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของตนให้โจทก์ โดยจำเลยยอมตกลงทำถนนในที่ดินของจำเลยแปลงที่ติดต่อกัน เพื่อโจทก์จะได้ใช้เป็นทางออกสู่ถนนหลวงได้ เมื่อโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้วหากจำเลยไม่ยอมทำถนนดังกล่าว โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีเช่นนี้ จำเลยจะเถียงว่านิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 หาได้ไม่ เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2503 เฉพาะปัญหาข้อแรก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม - สัญญาซื้อขาย - การบังคับตามสัญญา - ภารจำยอมทางนิติกรรม - การจดทะเบียน
คดีแพ่ง ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หากแต่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยโดยเฉพาะไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชนหรือบุคคลภายนอกแต่ประการใด ถ้าจำเลยเห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยก็ชอบที่จะระวังผลประโยชน์ของตนเอง โดยต่อสู้ไว้เสียตั้งแต่ศาลชั้นต้น คดีแพ่งหาเหมือนกับคดีอาญาไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้เป็นความบกพร่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้อนี้
จำเลยทำสัญญาขายส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของคนให้โจทก์ โดยจำเลยยอมตกลงทำถนนในที่ดินของจำเลยแปลงที่ติดต่อกัน เพื่อโจทก์จะได้ใช้เป็นทางออกสู่ถนนหลวงได้ เมื่อโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว หากจำเลยไม่ยอมทำถนนดังกล่าว โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีเช่นนี้ จำเลยจะเถียงว่า นิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 หาได้ไม่ เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2503 เฉพาะปัญหาข้อแรก)
จำเลยทำสัญญาขายส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของคนให้โจทก์ โดยจำเลยยอมตกลงทำถนนในที่ดินของจำเลยแปลงที่ติดต่อกัน เพื่อโจทก์จะได้ใช้เป็นทางออกสู่ถนนหลวงได้ เมื่อโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว หากจำเลยไม่ยอมทำถนนดังกล่าว โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีเช่นนี้ จำเลยจะเถียงว่า นิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 หาได้ไม่ เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2503 เฉพาะปัญหาข้อแรก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1560/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางภาระจำยอมเกิดขึ้นได้จากการใช้ทางต่อเนื่องของผู้อื่น แม้เจ้าของเดิมมิได้ตั้งเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอม
ทางพิพาทเดิมเป็นของนายฮกโป๊หรือโป๊ะแต่ผู้เดียว แม้ในชั้นต้นเจ้าของเดิมจะมีเจตนาเพียงเพื่อให้ผู้ซึ่งอยู่ในที่ดินของตนได้รับความสดวกก็ตาม แต่เมื่อต่อมาที่ดินดังกล่าวได้กลายสภาพเป็นหลายเจ้าของ โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินที่กลายสภาพมานั้นคนละแปลง และผู้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงของจำเลยมาก่อนจำเลยก็ใช้ขอนขวางทางหรือถนนเพียงเพื่อห้ามไม่ให้ใช้ยวดยานผ่านเพราะจะทำให้ท่อระบายน้ำและถนนเสียหาย แต่ไม่ห้ามผู้คนที่ใช้ทางหรือถนนสายนี้สัญจรไปมา ดังนี้เมื่อโจทก์และผู้ที่อยู่ริมทางหรือถนนพิพาทใช้ทางหรือถนนพิพาทมาหลายสิบปีแล้ว ทางหรือถนนพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมในการที่จะใช้เป็นทางเดิน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1560/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งทางภาระจำยอมโดยการใช้ต่อเนื่อง และเจตนาเดิมของเจ้าของที่ดินไม่มีผล
ทางพิพาทเดิมเป็นของนายฮกโป๊หรือโป๊ะแต่ผู้เดียว แม้ในชั้นต้นเจ้าของเดิมจะมีเจตนาเพียงเพื่อให้ผู้ซึ่งอยู่ในที่ดินของตนได้รับความสะดวกก็ตาม แต่เมื่อต่อมาที่ดินดังกล่าวได้กลายสภาพเป็นหลายเจ้าของ โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินที่กลายสภาพมานั้นคนละแปลง และผู้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงของจำเลยมาก่อนจำเลยก็ใช้ขอนขวางทางหรือถนนเพียงเพื่อห้ามไม่ให้ใช้ยวดยานผ่านเพราะจะทำให้ท่อระบายน้ำและถนนเสียหาย แต่ไม่ห้ามผู้คนที่ใช้ทางหรือถนนสายนี้สัญจรไปมา ดังนี้เมื่อโจทก์และผู้ที่อยู่ริมทางหรือถนนพิพาทใช้ทางหรือถนนพิพาทมาหลายสิบปีแล้ว ทางหรือถนนพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมในการที่จะใช้เป็นทางเดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมทางอายุความและการลดทอนประโยชน์ของภาระจำยอม การฟ้องคดีซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง ม.144, 148
ป.วิ.แพ่ง ม.144 ห้ามศาลมิให้ดำเนินคดีเรื่องเดิมนั้นต่อไปอีกทั้งคดีหรือเฉพาะประเด็นบางข้อ ซึ่งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ส่วน ม.148 เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเรื่องใด ศาลตัดสินครั้งหนึ่แล้ว มาฟ้องใหม่ซ้ำอีกไม่ได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาล 144,148 ตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า ม.144 คงเป็นปัญหาตาม ม.148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตาม ก.ม.บังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภาระ+ทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม ม.148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ.ม.1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไป ขัดต่อ ม.1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเจ้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้น อาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม ม.1400
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาล 144,148 ตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า ม.144 คงเป็นปัญหาตาม ม.148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตาม ก.ม.บังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภาระ+ทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม ม.148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ.ม.1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไป ขัดต่อ ม.1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเจ้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้น อาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม ม.1400
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมเสื่อมประโยชน์ – การกั้นทางทำให้ใช้สิทธิไม่ได้ – การฟ้องคดีซ้ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ห้ามศาลมิให้ดำเนินคดีเรื่องเดิมนั้นต่อไปอีกทั้งคดีหรือเฉพาะประเด็นบางข้อซึ่งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ส่วน มาตรา 148 เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเรื่องใด ศาลตัดสินครั้งหนึ่งแล้ว มาฟ้องใหม่ซ้ำอีกไม่ได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาลตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า มาตรา 144 คงเป็นปัญหาตาม มาตรา 148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตามกฎหมายบังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภารยะทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม 1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไปขัดต่อ มาตรา 1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเข้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้นอาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม มาตรา 1400
กรณีที่โจทก์ฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง ศาลตัดสินแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ไม่ใช่เรื่องศาลดำเนินคดีเดิม กรณีไม่เข้า มาตรา 144 คงเป็นปัญหาตาม มาตรา 148 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าภาระจำยอมที่โจทก์อ้างปราศจากรากฐานตามกฎหมายบังคับจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ยืนในข้อที่ยกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นภารยะทรัพย์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าจำเลยกั้นทางรายนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีใหม่นี้โดยฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินด้วยได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 148
โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม 1401 อันอาจใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์เข้าออกตามทางผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จำเลยกั้นทางให้แคบลงจนใช้ล้อหรือเกวียนและรถยนต์ไม่ได้ ย่อมเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมไปขัดต่อ มาตรา 1390 แม้โจทก์จะยังใช้รถจักรยาน 3 ล้อเข้าออกได้หรือโจทก์ไม่ได้เอาเกวียนเข้าเก็บในที่ดินของโจทก์ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัว
โจทก์มีทางเอาเกวียนและรถเข้าออกทางอื่นได้ แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะและโจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือทางนั้นอาจถูกสั่งปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ไม่เรียกว่าทางพิพาทหมดประโยชน์แก่โจทก์อันจะทำให้ภาระจำยอมหมดไปตาม มาตรา 1400
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตและภาระจำยอม ผู้ซื้อไม่อาจอ้างสิทธิได้
ลำรางน้ำในนาแปลงหนึ่งตกเป็นภาระจำยอมแก่นาข้างเคียงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีผู้ซื้อนาที่มีลำรางน้ำนั้นในภายหลังผู้ซื้อถมลำรางนั้นเสียเมื่อรับโอนนาแปลงนั้น ย่อมแสดงว่า ผู้ซื้อมิได้กระทำโดยสุจริต ฉะนั้นจะอ้าง ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1299 หรือ 1300 มาใช้เป็นคุณแก่ผู้ซื้อไม่ได้ เจ้าของนาข้างเคียงย่อมฟ้องผู้ซื้อขุดเปิดให้เป็นทางน้ำคงคืนตามสภาพเดิมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมทางน้ำ: การถมลำรางน้ำโดยผู้ซื้อที่ไม่สุจริต
ลำรางน้ำในนาแปลงหนึ่งตกเป็นภาระจำยอมแก่นาข้างเคียงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีผู้ซื้อนาที่มีลำรางน้ำนั้นในภายหลังผู้ซื้อถมลำรางนั้นเสียเมื่อรับโอนนาแปลงนั้น ย่อมแสดงว่า ผู้ซื้อมิได้กระทำโดยสุจริต ฉะนั้นจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 หรือ 1300 มาใช้เป็นคุณแก่ผู้ซื้อไม่ได้ เจ้าของนาข้างเคียงย่อมฟ้องผู้ซื้อให้ขุดเปิดให้เป็นทางน้ำคงคืนตามสภาพเดิมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมเกิดขึ้นจากการเปิดทางให้ผู้ซื้อที่ดินใช้ร่วมกัน การปลูกสร้างกีดขวางถือเป็นการลดประโยชน์ของภาระจำยอม
ผู้ขายที่ดินทำทางในที่ของตนให้บรรดาผู้ซื้อที่ดินของตนใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วนั้นย่อมถือว่าเป็นทางภาระจำยอมเมื่อผู้ขายไปปลูกเรือนลงในทางนี้เสียครึ่งหนึ่ง ทำให้ใช้ทางไม่สดวกเหมือนเช่นเดิมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสดวก ซึ่งต้องด้วยข้อห้ามตาม ป.ม.แพ่งมาตรา 1390 เจ้าของที่ดินจึงต้องรับผิด
คำว่า " อาศัยใช้" ทางเดินไม่หมายความว่า เป็นการอาศัยสิทธิเสมอไป อาจเป็นภาระจำยอมก็ได้
คำว่า " อาศัยใช้" ทางเดินไม่หมายความว่า เป็นการอาศัยสิทธิเสมอไป อาจเป็นภาระจำยอมก็ได้