พบผลลัพธ์ทั้งหมด 159 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดินจัดสรร แม้ไม่มีใบอนุญาตจัดสรร การแบ่งขายที่ดินถือเป็นการจัดสรรโดยปริยาย
แม้จะไม่ปรากฏว่าบริษัทก.เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286และที่ดินโฉนดเลขที่31569ส่วนที่เป็นทางพิพาทนั้นเป็นที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตก็ตามก็ถือได้ว่าการกระทำของบริษัทก. ที่แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อย90แปลงเพื่อขายนั้นเป็นการแสดงออกโดยปริยายแล้วว่าบริษัทก. จัดให้มีสาธารณูปโภคคือทางพิพาทอันถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286ลงวันที่24พฤศจิกายน2515ข้อ30 การที่บริษัทก. จะขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากหากจะเป็นการดำเนินการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวก็ไม่ทำให้การดำเนินการของบริษัทก.ไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายดังนั้นทางพิพาทจึงเป็นภารจำยอมตามกฎหมายแก่ที่ดินที่จัดสรรและที่ดินที่โจทก์ซื้อจากบริษัทก.จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ต่อจากบริษัทก.ย่อมอยู่ในบังคับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286ข้อ30ที่จะกระทำการใดๆอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ โจทก์ซึ่งซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวในที่ดินจัดสรรดังกล่าวย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทได้การที่มีการก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางภารจำยอมย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเมื่อที่ดินแปลงที่ทางภารจำยอมตั้งอยู่โอนมาเป็นของจำเลยโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทางภารจำยอมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความ: สิทธิใช้ทางเฉพาะที่ดินเจ้าของ ไม่ใช่เจ้าของบ้าน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นกรณีการใช้ทางในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้นไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลดังกล่าว โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ที่ 1 ใกล้กับบ้านโจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินที่บ้านตั้งอยู่จึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความตามมาตรา 1401ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม โจทก์ที่ 1 และบริวารย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทตลอดเวลา หากจำเลยปิดประตูเหล็กตาข่ายไว้สองบานหรือบานใดบานหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอม ลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยย่อมไม่มีสิทธิทำเช่นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความ: ผู้ใช้ทางต้องเป็นเจ้าของที่ดินที่ได้รับประโยชน์ มิใช่เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์และครอบครัวได้ใช้ที่ดินของจำเลยมีขนาดกว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 25 เมตร เป็นทางเดินและทางรถยนต์เข้าออกสู่ถนนสาธารณะตลอดมาไม่น้อยกว่า 25 ปีแล้ว โดยมีแผนที่สังเขปท้ายฟ้องประกอบ ทั้งมีคำขอท้ายฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมด้วย ถือว่าเป็นฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความ แม้คำฟ้องของโจทก์จะบรรยายด้วยว่าที่ดินที่ตั้งบ้านของโจทก์ล้อมรอบด้วยที่ดินแปลงอื่น ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ฟ้องของโจทก์ก็หาเคลือบคลุมไม่
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภาระจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น กรณีการใช้ทางในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลอื่นดังกล่าว ดังนั้นโจทก์ที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของบ้าน แต่มิได้เป็นเจ้าของที่ดินที่บ้านดังกล่าวตั้งอยู่ จึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 เพราะเป็นการใช้ทางภาระจำยอมโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่โจทก์ที่ 2 ปลูกบ้านอยู่ โจทก์ที่ 2 ไม่อาจอ้างว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางภาระจำยอมแก่บ้านของโจทก์ที่ 2 ได้ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์อันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ในฟ้องของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่เข้าสู่สำนวนโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ทางพิพาทมีความกว้างเพื่อให้รถยนต์ใช้เข้าออกได้และโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินและทางรถยนต์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์มาเกิน10 ปีแล้ว แม้ในการกะประเด็นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นใช้คำว่าทางเดินเท่านั้นก็ตาม ย่อมมีความหมายรวมกันทั้งทางเดินเท้าและทางเดินรถด้วยเพราะฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินและทางรถยนต์ จึงชอบที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมกว้างประมาณ 3 เมตรได้
เมื่อฟังว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมซึ่งโจทก์มีสิทธิใช้ได้แล้ว โจทก์และบริวารย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทตลอดเวลา หากจำเลยปิดประตูเหล็กตาข่ายไว้สองบานหรือบานใดบานหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยจึงไม่มีสิทธิทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยเปิดประตูเหล็กตาข่ายให้โจทก์ใช้รถยนต์เข้าออกได้ตามปกติ และให้ปิดไว้เมื่อไม่ใช้ จึงไม่จำเป็นและเป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภาระจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น กรณีการใช้ทางในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลอื่นดังกล่าว ดังนั้นโจทก์ที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของบ้าน แต่มิได้เป็นเจ้าของที่ดินที่บ้านดังกล่าวตั้งอยู่ จึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 เพราะเป็นการใช้ทางภาระจำยอมโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่โจทก์ที่ 2 ปลูกบ้านอยู่ โจทก์ที่ 2 ไม่อาจอ้างว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางภาระจำยอมแก่บ้านของโจทก์ที่ 2 ได้ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์อันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ในฟ้องของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่เข้าสู่สำนวนโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ทางพิพาทมีความกว้างเพื่อให้รถยนต์ใช้เข้าออกได้และโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินและทางรถยนต์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์มาเกิน10 ปีแล้ว แม้ในการกะประเด็นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นใช้คำว่าทางเดินเท่านั้นก็ตาม ย่อมมีความหมายรวมกันทั้งทางเดินเท้าและทางเดินรถด้วยเพราะฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินและทางรถยนต์ จึงชอบที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมกว้างประมาณ 3 เมตรได้
เมื่อฟังว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมซึ่งโจทก์มีสิทธิใช้ได้แล้ว โจทก์และบริวารย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทตลอดเวลา หากจำเลยปิดประตูเหล็กตาข่ายไว้สองบานหรือบานใดบานหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยจึงไม่มีสิทธิทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยเปิดประตูเหล็กตาข่ายให้โจทก์ใช้รถยนต์เข้าออกได้ตามปกติ และให้ปิดไว้เมื่อไม่ใช้ จึงไม่จำเป็นและเป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5764/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของตนเองไม่กระทบสิทธิภารจำยอมเดิมของผู้อื่น
โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความโดยจำเลยจะไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่1915และ23121ตามเนื้อที่ดินทั้งหมดในโฉนดให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่16281ของโจทก์ศาลพิพากษาตามยอมการที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่1915และ23121ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่23115ถึง23120ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียวนั้นจำเลยชอบที่จะทำได้และการจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าวก็มิใช่เป็นการจำหน่ายหรือทำให้ภารจำยอมของโจทก์ตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมของโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่การใช้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5764/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม: การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจำเลยเอง ไม่กระทบสิทธิภารจำยอมของผู้อื่น
โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความโดยจำเลยจะไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่1915และ23121ตามเนื้อที่ดินทั้งหมดในโฉนดให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่16281ของโจทก์ศาลพิพากษาตามยอมการที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่1915และ23121ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่23115ถึง23120ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียวนั้นจำเลยชอบที่จะทำได้และการจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าวก็มิใช่เป็นการจำหน่ายหรือทำให้ภารจำยอมของโจทก์ตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมของโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่การใช้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5764/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดิน: การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจำเลยเอง ไม่กระทบสิทธิภารจำยอมของผู้อื่น
โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความโดยจำเลยจะไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1915 และ 23121 ตามเนื้อที่ดินทั้งหมดในโฉนดให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 16281 ของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอม การที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1915และ 23121 ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 23115 ถึง 23120 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียวนั้น จำเลยชอบที่จะทำได้ และการจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าวก็มิใช่เป็นการจำหน่ายหรือทำให้ภารจำยอมของโจทก์ตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมของโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่การใช้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5764/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม: การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจำเลยเอง ไม่กระทบสิทธิภารจำยอมของผู้อื่น
ที่ดินโฉนดเลขที่1915และ23121ทั้ง2แปลงและที่ดินอีก6แปลงตามโฉนดเลขที่23115ถึง23120เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียวจำเลยชอบที่จะจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินทั้ง2แปลงให้แก่ที่ดินของจำเลยอีก6แปลงได้ทั้งการจดทะเบียนภารจำยอมของจำเลยดังกล่าวก็มิใช่เป็นการจำหน่ายหรือทำให้ภารจำยอมของโจทก์ตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมของโจทก์ต้องลดลงไปหรอื*เสื่อมความสะดวกแก่การใช้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5764/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอม: การจดทะเบียนภาระจำยอมใหม่ไม่กระทบสิทธิภาระจำยอมเดิม ตราบเท่าที่ไม่ลดทอนหรือทำให้เสื่อมความสะดวก
ที่ดินโฉนดเลขที่ 1915 และ 23121 ทั้ง 2 แปลง และที่ดินอีก 6 แปลงตามโฉนดเลขที่ 23115 ถึง 23120 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยชอบที่จะจดทะเบีบนภาระจำยอมในที่ดินทั้ง 2 แปลง ให้แก่ที่ดินของจำเลยอีก 6 แปลงได้ ทั้งการจดทะเบียนภาระจำยอมของจำเลยดังกล่าวก็มิใช่เป็นการจำหน่ายหรือทำให้ภาระจำยอมของโจทก์ตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมของโจทก์ต้องลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่การใช้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมทางเดิน: การใช้ทางต่อเนื่องกว่า 10 ปี และสิทธิของผู้รับมรดก
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายประกอบเอกสารกับภาพถ่ายท้ายฟ้องอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องไว้แล้วว่า เดิม พ.สามีจำเลยจัดสรรแบ่งขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2800 ให้แก่คนทั่วไปโดยที่ดินส่วนหนึ่งคือที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทตามโฉนดเลขที่10514 ได้เว้นไว้สำหรับทำทางเดินและทางรถกว้าง 2 วา ตามแผนที่โฉนดท้ายฟ้องหมายเลข 2 โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะกว่า 10 ปี และบรรยายต่อไปว่าจำเลยได้ให้คนปักเสาขึงลวดหนามกั้นเขตที่ดินโจทก์ และปักเสา 3 ต้น ขวางถนนเข้าบ้านโจทก์ตามภาพถ่ายหมายเลข 4 และ 5 ตามลำดับ ทำให้โจทก์รับความเสียหายเสื่อมประโยชน์โดยไม่อาจทำประตูเข้าออกบ้านได้ ฟ้องของโจทก์บรรยายชัดเจนซึ่งสภาพแห่งข้อหาปิดกั้นทางภาระจำยอม คำขอบังคับให้จำเลยรื้อรั้วและเสาที่กั้นเขตที่ดิน กั้นทางเข้าออก ตลอดถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
เดิม พ.ประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นแนวถนนของที่ดินที่แบ่งจัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของโจทก์ด้วย เมื่อโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทางพิพาทตลอดมากว่า 10 ปี โดยจำเลยไม่ได้แสดงการสงวนสิทธิในที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทไว้โจทก์จึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาทตลอดแนวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 จำเลยผู้รับมรดกทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์จึงจำต้องรับภาระจำยอมดังกล่าว ไม่มีสิทธิปิดกั้นรุกล้ำแนวทางพิพาทหรือประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามมาตรา 1390
หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 ทวิได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้ว มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด
เดิม พ.ประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นแนวถนนของที่ดินที่แบ่งจัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของโจทก์ด้วย เมื่อโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทางพิพาทตลอดมากว่า 10 ปี โดยจำเลยไม่ได้แสดงการสงวนสิทธิในที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทไว้โจทก์จึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาทตลอดแนวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 จำเลยผู้รับมรดกทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์จึงจำต้องรับภาระจำยอมดังกล่าว ไม่มีสิทธิปิดกั้นรุกล้ำแนวทางพิพาทหรือประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามมาตรา 1390
หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 ทวิได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้ว มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมทางจำเป็นเมื่อใช้ทางต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี แม้เจ้าของที่ดินจะกั้นรั้วก็ไม่อาจขัดขวางได้
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายประกอบเอกสารกับภาพถ่ายท้ายฟ้องอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องไว้แล้วว่าเดิมพ.สามีจำเลยจัดสรรแบ่งขายที่ดินตามโฉนดเลขที่2800ให้แก่คนทั่วไปโดยที่ดินส่วนหนึ่งคือที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทตามโฉนดเลขที่10514ได้เว้นไว้สำหรับทำทางเดินและทางรถกว้าง2วาตามแผนที่โฉนดท้ายฟ้องหมายเลข2โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะกว่า10ปีและบรรยายต่อไปว่าจำเลยได้ให้คนปักเสาขึงลวดหนามกั้นเขตที่ดินโจทก์และปักเสา3ต้นขวางถนนเข้าบ้านโจทก์ตามภาพถ่ายหมายเลข4และ5ตามลำดับทำให้โจทก์รับความเสียหายเสื่อมประโยชน์โดยไม่อาจทำประตูเข้าออกบ้านได้ฟ้องของโจทก์บรรยายชัดเจนซึ่งสภาพแห่งข้อหาปิดกั้นทางภารจำยอมคำขอบังคับให้จำเลยรื้อรั้วและเสาที่กั้นเขตที่ดินกั้นทางเข้าออกตลอดถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เดิมพ. ประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นแนวถนนของที่ดินที่แบ่งจัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของโจทก์ด้วยเมื่อโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทางพิพาทตลอดมากว่า10ปีโดยจำเลยไม่ได้แสดงการสงวนสิทธิในที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทไว้โจทก์จึงได้ภารจำยอมในทางพิพาทตลอดแนวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401จำเลยผู้รับมรดกทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์จึงจำต้องรับภารจำยอมดังกล่าวไม่มีสิทธิปิดกั้นรุกล้ำแนวทางพิพาทหรือประกอบกรรมใดๆอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามมาตรา1390 หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296ทวิได้อยู่แล้วโจทก์จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้วมิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด