คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 172

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,914 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2225/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าไฟฟ้าค้างชำระ ไม่ใช่ฟ้องละเมิด อายุความเป็นไปตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตรวจพบว่าเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าถูกทำการแก้ไขให้แสดงค่าหน่วยน้อยกว่าที่มีการใช้ไฟฟ้าจริงเป็นเหตุให้จำเลยในฐานะผู้ใช้ไฟฟ้าชำระเงินค่าไฟฟ้าแก่โจทก์น้อยไปกว่าที่เป็นจริงทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2525ถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2528 จำเลยชำระเงิน ค่าไฟฟ้าให้โจทก์ไม่ถูกต้องโดยชำระเพียง 74,104.64 บาท หากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าแสดงค่าหน่วยไฟฟ้าถูกต้อง จำเลยจะต้องชำระค่าไฟฟ้าให้โจทก์ในช่วงดังกล่าวเป็นเงิน 203,178.10 บาท จำเลยได้รับประโยชน์จากการใช้ไฟฟ้า ที่เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าถูกทำการแก้ไขให้แสดงหน่วยไฟฟ้า น้อยกว่าที่เป็นจริง จึงต้องรับผิดชำระเงินค่าไฟฟ้าเพิ่ม ย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2525 ถึงวันที่ 6 สิงหาคม2528 แก่โจทก์คิดเป็นเงิน 129,073.46 บาท คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหารวมทั้งรายละเอียดและคำขอบังคับโดยชัดแจ้งพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายว่าเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าถูกแก้ไขอย่างไรใครเป็นผู้แก้และแก้เมื่อใด รวมทั้งการอ้างสิทธิ ที่ จะ เรียกเก็บค่าไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลัง และการคิดค่าไฟฟ้า โดยอาศัยหลักเกณฑ์ใด เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเรียกค่าไฟฟ้าที่จำเลยใช้ตามที่ได้ใช้ไปจริงและจำเลยชำระขาดไป จึงเป็นการฟ้องจำเลยให้ชำระค่าไฟฟ้าที่ยังขาดอยู่ตามสัญญามิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จาก การ ทำละเมิดอันมีอายุความ 1 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2166/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง, การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม, และความชัดเจนของคำฟ้องในคดีแพ่ง
แม้โจทก์ได้ยื่นเอกสารต่อศาลชั้นต้นโดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้อันเป็นการมิชอบด้วยกระบวนพิจารณาความก็ตาม แต่ต่อมาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอ้างเอกสารดังกล่าวก่อนที่จะสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนเสร็จ โจทก์จึงมีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสอง กฎหมายหาได้ห้ามการยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเอกสารที่ส่งต่อศาลก่อนแล้วแต่อย่างใดไม่ โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอเพิ่มเติมเป็นการอธิบายว่า โจทก์ได้พิมพ์ตัวเลข พ.ศ. ที่จำเลยที่ 1 ขอกู้เพิ่มเติมในสัญญาผิดไปเป็นการบรรยายฟ้องให้ชัดขึ้นเท่านั้นจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมเมื่อคดีไม่มีการชี้สองสถานและโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานโจทก์จึงมีสิทธิขอแก้ไขได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179,180 แม้จะเป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้ไว้เป็นประเด็นสำคัญก็ตาม โจทก์ได้แก้ไขคำฟ้องแล้วว่าโจทก์พิมพ์ พ.ศ. ในสัญญากู้เพิ่มเติมผิดไปเป็นการอธิบายถึงที่มาของปีที่มีการทำสัญญากู้เพิ่มเติมว่าพิมพ์ พ.ศ. ผิด จึงเป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องฎีกาต้องแสดงข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มิใช่เพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (13) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไรแต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน... โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น..." ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และ พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(13) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร แต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น" ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร แต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น" ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุเวลาเริ่มละเมิด รายละเอียดเนื้อที่ถือเป็นเรื่องสืบพยาน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นเนื้อที่ 37.14 ตารางวา ตามแผนที่หมายเลข 39เอกสารท้ายฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอม โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วแต่ก็เพิกเฉยเป็นการอยู่โดยละเมิดขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปแม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยละเมิดตั้งแต่เมื่อใดก็เข้าใจได้ว่าเป็นการอยู่โดยละเมิดตั้งแต่ก่อนฟ้องแล้วส่วนจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยละเมิดมีความกว้างยาวเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่คู่ความจะต้องนำสืบ คำฟ้องได้กล่าวโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่เคลือบคลุม ไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน ศาลยกคำร้อง
เหตุคัดค้านการเลือกตั้งข้อ (1) ผู้ร้องมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใด กรรมการตรวจคะแนนผู้ใดหรือเจ้าหน้าที่นับคะแนนผู้ใดนับบัตรเลือกตั้งหรือคะแนนการเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริง หรือรวมคะแนนผิดไปจากความจริง ผู้ร้องเพียงแต่กล่าวอ้างคลุม ๆ มาว่า กรรมการทุกคนทุกหน่วยเลือกตั้งในเขตอำเภอแม่ลาน้อย กับกิ่งอำเภอปางมะผ้ากระทำการดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงการคาดคะเนเอาเองของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการนับบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้ผู้ร้องเป็นบัตรเสียและลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบัตรดีนั้น ผู้ร้องก็มิได้บรรยายว่าลักษณะของบัตรเสียนั้นเป็นลักษณะเช่นใด เพราะตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 73 ได้กำหนดประเภทของบัตรเสียไว้ถึง 6 ชนิดบัตรเสียที่ผู้ร้องอ้างไม่ปรากฏว่าเป็นบัตรชนิดใดทั้งไม่มีรายละเอียดว่าบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้แก่ผู้ร้องซึ่งกรรมการตรวจคะแนนนับเป็นบัตรเสียมีจำนวนเท่าใดและบัตรเสียที่ลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 2 นับเป็นบัตรดีนั้นมีจำนวนเท่าใด ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการนับคะแนนของผู้ร้องกับผู้สมัครรายอื่นให้เป็นของผู้คัดค้านที่ 2 นั้น ผู้ร้องก็มิได้บรรยายว่าคะแนนของผู้ร้องกับผู้สมัครรายอื่นที่อ้างว่านับให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 นั้นมีจำนวนเท่าใด ผู้สมัครรายอื่นนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ใดแน่ ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องในเหตุการณ์แรกนี้จึงเลื่อนลอยและเคลือบคลุม ไม่พอที่จะให้ผู้คัดค้านทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดีและต่อสู้คดีได้ถูกต้องจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง เหตุคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ (2) ผู้ร้องมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาเช่นกันกล่าวคือ คำร้องมิได้บรรยายว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือกรรมการตรวจคะแนนผู้ใดกระทำการดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เพียงแต่อ้างคลุม ๆ มาเช่นกันว่า กรรมการทุกคนทุกหน่วยเลือกตั้งเท่านั้น และมีการอ่านคะแนนผิดความจริงอย่างไรก็ไม่ปรากฏ ตามคำร้องก็ไม่แน่นอนว่าเป็นกรณีที่กรรมการตรวจคะแนนอ่านคะแนนหรือรวมคะแนนผิดความจริงกันแน่ จำนวนคะแนนที่ผู้ร้องอ้างว่าลดลงไปแล้วเพิ่มให้ผู้คัดค้านที่ 2 ก็เป็นแต่เพียงการกะประมาณเอาเองของผู้ร้องเท่านั้น คำร้อง ของ ผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุมเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม อายุความสะดุดหยุดเมื่อจำเลยยอมรับหนี้และผ่อนชำระ แม้ต่อมาจะอ้างว่าเป็นการบรรเทาโทษอาญา
โจทก์ฟ้องอ้างมูลหนี้ตามสัญญาว่าจ้างทำฟิลม์โปร่งแสงโฆษณาโดยบรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำจำนวนกี่แผ่น ค้างชำระค่าจ้างอยู่จำนวนเท่าใด และจำเลยได้รับสภาพหนี้ในเงินค่าจ้างดังกล่าวอย่างไร จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น สามารถทำให้จำเลยเข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว ไม่เคลือบคลุม เมื่อคำให้การจำเลยเป็นเรื่องที่ต่อสู้ว่าจำเลยมิได้รับสภาพหนี้ ไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาระงับด้วยการแปลงหนี้ใหม่มาเป็นมูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นคนละเรื่องกับที่ให้การต่อสู้ไว้และเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยยกขึ้นมาอุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคแรก เมื่อจำเลยให้การยอมรับว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อศาลอาญาธนบุรีในการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพและตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยได้ผ่อนชำระให้ไปแล้ว 40,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการชำระหนี้ค่าจ้างทำฟิล์มโปร่งแสงโฆษณาบางส่วนให้แก่โจทก์ เมื่อได้กระทำภายในอายุความ 2 ปี ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม(มาตรา 193/14 ใหม่) โจทก์ฟ้องหลังจากจำเลยงดการผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ยังไม่เกิน 2 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากอ้างกรรมสิทธิ์เดิม
เมื่อโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองเสียแล้ว แม้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องมุ่งเรื่องการครอบครองปรปักษ์และขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นดังนั้น ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงหลังสัญญาซื้อขายหุ้น การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน และอำนาจฟ้องของเจ้าของกิจการ
บรรยายฟ้องว่า บริษัทค. เป็นหนี้โจทก์ 1,811,515.90เหรียญฮ่องกงเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2526 บริษัทค. บริษัทบ.และจำเลย ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกัน โจทก์จำเลยและ บริษัทค. ตกลงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แทนบริษัทค.เป็นเงิน 1,700,000เหรียญฮ่องกง หนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นการบรรยายเกี่ยวกับสภาพแห่งข้อหาโดยละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว หาจำต้องบรรยายว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ ส่วนที่ระบุชื่อโจทก์ในฟ้องว่า "นายสุทินฟุ้งสาธิต ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการผู้มีอำนาจรามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี และในฐานะส่วนตัว" นั้น โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อมาว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจการค้าใช้ชื่อทางการค้าว่ารามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี โดยโจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวและเป็นผู้จัดการมีอำนาจเต็มอ่านโดยตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของกิจการดังกล่าวซึ่งมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การประกอบธุรกิจทางการค้า ผู้ประกอบธุรกิจจะตั้งชื่อร้านหรือกิจการของตนได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล โจทก์เป็นเจ้าของกิจการจึงมีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัว หนังสือสัญญาระบุว่า จำเลยตกลงจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ภายใน 90 วันนับจากวันที่ทำสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทค. และบริษัทบ. กับจำเลย เมื่อ บริษัทค. บริษัทบ. และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกันแล้วตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526ข้อที่จำเลยอ้างว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะไม่สามารถโอนหุ้นกันได้เป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาหาอาจนำมาอ้างกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่ ข้อตกลงจึงมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526การนับระยะเวลา 90 วัน จึงเริ่มนับแต่นั้นเป็นต้นไป และครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยเป็นคนไทยจะชำระหนี้เป็นเงินเหรียญฮ่องกง ปกติจำเลยก็ต้องไปซื้อเงินเหรียญฮ่องกงจากธนาคาร อัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ต้องเป็นไปตามอัตราขายของธนาคาร.
of 292