พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2935/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุหลักฐานการเป็นหนี้โดยละเอียด หากแสดงถึงที่มาของหนี้ชัดเจน
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากมิได้ระบุหลักฐานการเป็นหนี้ธนาคารโจทก์และหลักฐานที่จำเลยได้เคยนำเงินเข้าออกอย่างไรมาให้ทราบเท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงเกี่ยวกับฟ้องโจทก์ ในกรณีอื่นว่าเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมด้วยนั้นจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2906/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องรื้อถอนบ้านรุกที่ดิน: การบรรยายฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดบ้าน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยอยู่บ้านเลขที่ 152/6ถนนเจริญนคร แขวงบุคคโลเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บางส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 1266 และ 3751แขวงบุคคโลเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร จำเลยได้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ดังกล่าวโดยปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงนี้โดยจำเลยและสามีจำเลยขออนุญาตจากโจทก์และเจ้าของร่วม ต่อมาจำเลยยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้ามาอาศัยในบ้านดังกล่าว โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยก็เพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสถานแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนบ้านเลขที่ 152/6 เป็นบ้านตึกหรือบ้านไม้ มีความกว้างยาวและเนื้อที่เท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่ไม่จำต้องบรรยายในฟ้องทั้งจำเลยก็อาศัยในบ้านดังกล่าวย่อมรู้รายละเอียดดังกล่าวได้ดีอยู่แล้ว ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องสงบและเปิดเผยต่อเนื่อง หากมีจดทะเบียนสิทธิในที่ดินตลอดมา การครอบครองไม่ครบ 10 ปี ย่อมไม่เกิดสิทธิ
ผู้ร้องทั้งสองได้กล่าวไว้ในคำร้องขอให้แสดงสิทธิครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ จึงมีความหมายว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททั้งโฉนด โดยไม่จำต้องระบุถึงเนื้อที่ดิน ความกว้างยาวหรืออาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมาในท้ายคำร้องขอ และที่ผู้ร้องทั้งสองกล่าวว่าได้ครอบครองเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ก็มีความหมายว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปี เป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปีเป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว ไม่เคลือบคลุม ตามคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองได้กล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กล่าวว่ามีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองอันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิการทำเป็นคำร้องขอจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188 แล้ว ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของ ป. ต่อมามีการจดทะเบียนโอนขายกันหลายทอด จนเมื่อปี 2504 ด. ในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงนี้แก่ ผ. ปี 2509 จึงได้ไถ่ถอนจำนอง แล้วจดทะเบียนขายฝากแก่ จ. ในปีเดียวกัน จนปี 2511 จึงจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากแล้วจดทะเบียนขายฝากให้แก่ ส. กับพวก อีกทีหนึ่งโดยมิได้ไถ่ถอนการขายฝาก ปี 2512 ส. กับพวกได้จดทะเบียนโอนขายคืนให้แก่ ด.ในปีเดียวกันด. ได้จดทะเบียนขายฝากแก่ ล.โดยไม่มีการไถ่ถอนการขายฝากปี 2514 ล. ได้จดทะเบียนขายให้แก่ช.ปี2519ช. ได้จดทะเบียนแบ่งขายบางส่วนของที่ดินพิพาทให้แก่กรมทางหลวงเพื่อทำเป็นถนนสาธารณะ ปี 2522 ช. ได้จดทะเบียนโอนขายส่วนที่เหลือให้แก่ ม. และปีเดียวกันนั้น ม. ได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้คัดค้านอีกต่อหนึ่ง การที่มีการจดทะเบียนเกี่ยวสิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่าย ผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท การอ้างว่าได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องก็ยังไม่ครบสิบปี แม้ฝ่ายผู้ร้องได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองว่าผู้คัดค้านว่าโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ และผู้รับโอนคนก่อน ๆต่อจากผู้คัดค้านรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการละเสียซึ่งอายุความทางแพ่ง กรณีหนี้ค่าอะไหล่จากการซ่อมรถ
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาจ้างทำของ ซื้อขายและผิดสัญญารับสภาพหนี้ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้จ้างให้โจทก์ทำการซ่อมตู้เย็นเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งในตู้ห้องเย็นตลอดจนเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับตู้เย็นด้วย รวมการซ่อมแซมทั้งสิ้น 155ครั้ง ซึ่งตู้เย็นดังกล่าวนั้นติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกทั้งหมด 32 คันที่จำเลยซื้อมาจากบริษัทส.และบริษัทส. ได้ซื้อตู้ห้องเย็นมาจากโจทก์ โจทก์ได้ทำการซ่อมให้กับจำเลยตรงตามวัตถุประสงค์จนครบถ้วนตามใบสั่งซ่อมแล้วดังนี้โจทก์ได้บรรยายถึงมูลหนี้เรื่องจ้างทำของคือ จำเลยส่งรถบรรทุกห้องเย็นมาให้โจทก์ซ่อมเครื่องทำความเย็นจำนวน 155 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 817,905.87 บาทส่วนจะเป็นค่าอะไหล่อะไร เครื่องทำความเย็นของรถหมายเลขเท่าไรค่าซ่อมจำนวนเท่าใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วแม้ภายหลังโจทก์จะขอแก้ไขคำฟ้องโดยตัดคำว่า ค่าแรงงานในคำฟ้องเดิมออก คงเรียกร้องแต่ค่าอะไหล่เพียงอย่างเดียวก็ไม่ทำให้คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยขอให้โจทก์ส่งใบสั่งซ่อมไปให้จำเลย เพราะว่าจำเลยต้องการเอกสารดังกล่าวไปประกอบการตรวจสอบหนี้ค่าซ่อมเครื่องทำความเย็นระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งมีความหมายว่า เมื่อตรวจสอบแล้วหากพบว่ามีหลักฐานการสั่งซ่อมถูกต้องแล้วจำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์การกระทำดังกล่าวแม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 โจทก์ฟ้องเรียกค่าอะไหล่ที่โจทก์ได้เปลี่ยนซ่อมให้จำเลย ถือได้ว่าโจทก์เป็นช่างฝีมือเรียกเอาค่าทำของจากจำเลย สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่ากำลังตรวจสอบเอกสารต่าง ๆหากตรวจสอบเสร็จแล้วจะดำเนินการชำระหนี้ให้โจทก์ หนังสือดังกล่าวนอกจากจะถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้แล้ว ยังเป็นการไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในหนี้ส่วนที่ขาดอายุความ ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความในหนี้ส่วนนั้นแล้ว จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม คดีแชร์: รายละเอียดการประมูลและจำนวนเงินเป็นเรื่องสืบพยานในชั้นพิจารณา
คำฟ้องบรรยายว่าโจทก์ได้ตกลงเข้าร่วมเล่นแชร์กับจำเลยจำนวน 2 วง หุ้นละ 300 บาท มีผู้ถือหุ้นวงละ 28 หุ้น เริ่มเล่นวันที่ 1 ตุลาคม 2528 กำหนดชำระค่าหุ้นทุก 15 วัน หลังจากนั้นโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยมีการประมูลแชร์กันตลอดมาจนถึงเดือนกันยายน 2529 แชร์ทั้ง 2 วง เลิกโดยที่โจทก์ยังไม่ได้ประมูลซึ่งโจทก์ได้ส่งเงินค่าหุ้นไปแล้วจำนวน 13,800 บาท และมี ดอกเบี้ยที่มีผู้ประมูลได้ 8,652 บาท จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระคืนให้โจทก์ดังนี้ คำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งมีสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนจำนวนเงินที่โจทก์ได้ส่งไปและดอกเบี้ยซึ่งมีสิทธิจะได้รับนั้นจะเป็นเงินค่าหุ้นและดอกเบี้ยแชร์วงไหน ผู้เข้าร่วมเล่นรายใดเป็นผู้ประมูลได้ จำนวนเท่าใดเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบกันได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันในสัญญาประกันตัวและการวินิจฉัยนอกประเด็นของศาลล่าง
โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาให้ไว้แก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดยินยอมให้ปรับเป็นเงิน 200,000 บาท และเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนนำโฉนดที่ดินมามอบไว้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิด ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญาประกันกับโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ โดยต่อสู้คดีเพียงว่าไม่ได้ผิดนัดและโจทก์ไม่เสียหายจึงไม่มีอำนาจปรับจำเลยเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผูกพันต่อโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น นอกเหนือจากคำฟ้องและคำให้การ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ทำสัญญาประกันในนามของตนเอง แต่ทำแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จึงไม่ต้องรับผิดนั้นเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ค่าปรับจำนวน 200,000 บาท ซึ่งกำหนดให้จำเลยต้องเสียให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกัน เป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งที่ศาลมีอำนาจลดลงได้ ถ้าเห็นว่าสูงเกินไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: การบรรยายรายละเอียดวัสดุในฟ้องแพ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนวัสดุก่อสร้างบ้านที่จำเลยรื้อถอนไปแก่โจทก์โดยได้บรรยายฟ้องระบุเลขที่บ้านและสถานที่ตั้งของบ้านพิพาท ตลอดจนบุคคลที่ขายบ้านพิพาทให้แก่โจทก์กับราคาที่โจทก์ซื้อมาและได้บรรยายต่อไปถึงพฤติการณ์ที่จำเลยรื้อบ้านพิพาทนำเอาวัสดุไปก่อสร้างบ้านหลังใหม่ พร้อมกับแนบสำเนารายการวัสดุของบ้านพิพาทที่จำเลยรื้อไปมาท้ายฟ้องด้วย สามารถรู้ได้ว่ามีวัสดุอะไรบ้างที่จำเลยรื้อไปจากบ้านพิพาท ส่วนบ้านพิพาทเป็นบ้านแบบใด ราคาของวัสดุเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2252/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน-หนังสือแจ้งหนี้ค้างชำระ-จำกัดสิทธิเรียกหนี้-อายุความ-ศาลฎีกาวินิจฉัย
เงื่อนไขในการประกวดราคาสัญญาก่อสร้างอาคารระบุว่าเมื่อโจทก์ตกลงเลือกผู้เข้าประกวดราคารายใดให้เป็นผู้รับจ้างและนัดให้ไปทำสัญญาแล้ว ผู้ถูกเลือกจะต้องไปทำสัญญาภายในกำหนดหากผู้ถูกเลือกไม่ยอมรับทำสัญญาโจทก์จะริบเงินมัดจำซองประกวดราคาและหากปรากฏว่าโจทก์ต้องจ้างผู้อื่นก่อสร้างแทนแพงกว่าราคาที่เสนอไว้รวมกับเงินประกันที่ยึดไว้แล้ว ผู้เสนอราคายินยอมที่จะชดใช้ราคาในส่วนที่เกินนั้นด้วยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์ตกลงเลือกเป็นผู้เข้าประกวดราคาได้ไม่ยอมไปทำสัญญาก่อสร้างกับโจทก์ตามที่ยื่นซองประกวดราคาได้ ทำให้โจทก์ต้องจ้าง ช. ก่อสร้างอาคารของโจทก์ในราคาสูงกว่าราคาที่จำเลยที่ 1 ประมูลได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายในราคาที่สูงขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่ากำหนดเวลาให้ใช้ดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฎีกาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่ก่อนวันฟ้องกรณีก็ถือว่าโจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในปัญหาเรื่องดอกเบี้ยแล้ว ก่อนฟ้องคดีโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ที่ค้ำประกันจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งโจทก์เรื่องที่โจทก์ไม่แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบภายในระยะเวลาค้ำประกันถึงกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาประกวดราคาแต่จำเลยที่ 3 ก็ยังมีสิทธิยกข้อต่อสู้ดังกล่าวเพื่อปฏิเสธความรับผิดของตนในชั้นให้การได้ ปัญหาที่โจทก์ฎีกา โจทก์มิได้ยกขึ้นโต้แย้งในอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยปัญหานี้ให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต้องพิจารณาจากสาเหตุของนายจ้างและลูกจ้าง คำฟ้องต้องชัดเจน
โจทก์ทั้งสี่บรรยายฟ้องถึงสาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ประการแรกว่า โดย โจทก์ทั้งสี่ไม่มีความผิด และสาเหตุประการที่สองว่าเป็นนโยบายของจำเลย และไม่แจ้งเหตุผลให้โจทก์ทั้งสี่ทราบและโจทก์ทั้งสี่ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า การเลิกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย เป็นฟ้องที่บรรยายโดย แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เคลือบคลุม การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจักต้องพิเคราะห์ว่า มีสาเหตุเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้หรือไม่เป็นประการสำคัญ ซึ่งพิจารณาได้จาก2 ฝ่าย คือ สาเหตุจากลูกจ้างฝ่ายหนึ่ง และสาเหตุจากนายจ้างอีกฝ่ายหนึ่ง การที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยไว้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดย มิใช่สาเหตุเพราะโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกจ้างมีความผิด และมิใช่สาเหตุเนื่องจากเกิดวิกฤติ ในทางการค้าของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างนั้น เป็นคำวินิจฉัยที่ได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้ชัดแจ้งชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีค่ากระแสไฟฟ้า: สำเนาเอกสาร, การมอบอำนาจ, อายุความ, และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์
โจทก์ส่งสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของโจทก์ต่อศาลแต่จำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าวถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลรับฟังได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ.2503โจทก์ฟ้องคดีนี้โดย ว. ผู้ว่าการของโจทก์มอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทนการที่โจทก์นำสืบว่า ว. เป็นผู้ว่าการของโจทก์ตามสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการและโจทก์โดย ว. ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจที่ส่งต่อศาลย่อมแสดงว่า ว. เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์อยู่ในตัวเพราะการดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคลการที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา30แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ.2503ที่บัญญัติให้ผู้ว่าการทำการแทนโจทก์มากล่าวเป็นเพียงระบุให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นมิใช่รับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่โจทก์นำสืบ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปถึงหน่วยเลขที่5636แต่จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าเพียงหน่วยเลขที่3717จึงขาดอยู่อีก1919หน่วยเป็นเงิน2,965.43บาทขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับแล้วและโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าเมื่อเดือนเมษายน2526โจทก์ได้ตรวจพบว่า จ. พนักงานของโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าของลูกค้าซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วยโจทก์ได้ส่งพนักงานคนใหม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าที่เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าบ้านจำเลยจึงพบว่าจำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดไปอันเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วส่วนการที่จำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เมื่อใดเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยใดจำเลยค้างชำระเดือนละเท่าใดคิดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใดเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ดำเนินกิจการตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ.2503มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนอันมีลักษณะเป็นการสาธารณูปโภคจึงมิได้เป็นพ่อค้าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(1)การฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าเมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นต้องถือว่ามีอายุความ10ปีตามมาตรา164