พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของคู่สัญญาเช่าเมื่อสัญญาหมดอายุและไม่มีหลักฐานการต่อสัญญา ศาลพิจารณาการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาและการบอกเลิกสัญญา
โจทก์และโจทก์ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งมีตึกแถวพิพาทปลูกอยู่ร่วมกัน และได้จดทะเบียนให้ ล. เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินตลอดชีวิตล.ทำหนังสือยินยอมให้โจทก์ใช้สิทธิเก็บกินแทน จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวกับโจทก์ เช่นนี้จำเลยจะโต้แย้งว่า ล.มีสิทธิเก็บกินในที่ดินและตึกแถวพิพาทมิได้ โจทก์ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยตามสัญญาเช่าได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวพิพาท กับจำเลยมีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี สัญญาครบกำหนดแล้ว โจทก์จำเลย ตกลงกันขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 6,000 บาท จำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้ โจทก์โจทก์เสียหายเดือนละ 6,000 บาท เท่าค่าเช่า โจทก์ บอกกล่าวเลิก สัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและบังคับ จำเลยใช้ค่าเสียหายดังนี้ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดว่า เหตุใดโจทก์เสียหายเดือนละ6,000 บาทอีก สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือทั้งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ตกลงเช่ากับโจทก์มีกำหนด 3 ปี และฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้โจทก์เป็นเงิน 120,000บาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินคืนจากโจทก์ 70,000 บาทโดยอ้างว่าจำเลยเพิ่งเข้าอยู่ได้เพียง 1 ปี 3 เดือน และกำหนดเวลาเลิกยังขาดอยู่ 1 ปี 3 เดือนตามฟ้องแย้ง เมื่อตาม กฎหมายให้ถือว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนด เวลา และจำเลยนำสืบยอมรับว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไป การที่จำเลยยังอยู่ ในตึกแถวพิพาทจึงเป็นการอยู่โดยละเมิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่าและการพิพากษาค่าเสียหาย: โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาเช่า และการบรรยายฟ้องค่าเสียหายชัดเจนเพียงพอ
จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับโจทก์ โจทก์ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทมีกำหนด 3 ปี สัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 6,000 บาท จำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์โจทก์เสียหายเดือนละ 6,000 บาทเท่าค่าเช่า โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่และบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นคำฟ้องที่บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดว่าเหตุใดโจทก์เสียหายเดือนละ6,000 บาทอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีมรดกของผู้ปกครองเด็ก, อายุความมรดกมีผู้จัดการ, การแบ่งมรดกสินส่วนตัวและสินร่วม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งให้ ค. เป็นผู้ปกครองของเด็กชาย ท.คดีถึงที่สุดแล้วค. ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีแทนเด็กชาย ท.จำเลยไม่อาจโต้แย้งในคดีนี้ว่าค. ไม่มีอำนาจเป็นผู้ปกครองเด็กชาย ท. ได้ ฟ้องระบุว่า ผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของเจ้ามรดกได้แก่เด็กชาย ท. และจำเลย พร้อมกับบอกสัดส่วนที่มีสิทธิได้รับมรดกเป็นจำนวนเท่าใดไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเจ้ามรดกมีทายาทจำนวนกี่คนและเป็นผู้ใด หากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกเห็นว่าจำนวนทายาทหรือจำนวนทรัพย์สินที่โจทก์ขอแบ่งตามฟ้องไม่ถูกต้องจำเลยต้องให้การต่อสู้ไว้ และเมื่ออ่านฟ้องประกอบใบมรณบัตรเอกสารท้ายฟ้องแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องพิมพ์ข้อความผิดพลาด ที่ถูกต้องเป็นตามใบมรณบัตรแนบท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ทรัพย์ที่เจ้ามรดกกับ ส. เป็นเจ้าของร่วมกัน ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เมื่อ ส. ถึงแก่กรรม ทรัพย์มรดกตกได้แก่เด็กชาย ท. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับส่วนของเจ้ามรดกตกได้แก่ทายาทโดยธรรมทั้งสี่คนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อรวมแล้วเด็กชาย ท. มีสิทธิได้รับจำนวน 5 ใน 8 ส่วน กรณีทรัพย์มรดกมีผู้จัดการ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันตั้งผู้จัดการมรดก ทายาทไม่จำต้องฟ้องเรียกทรัพย์มรดกภายใน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์มรดก: ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสามีภรรยาเป็นของทั้งสองคน และอายุความมรดกสะดุดเมื่อมีผู้จัดการมรดก
ค.เป็นผู้ปกครองเด็กชายท. ตามคำสั่งศาล มีอำนาจฟ้องจำเลยขอแบ่งมรดกให้แก่เด็กชาย ท. ได้ โจทก์ระบุในหน้าฟ้องว่า ค.ในฐานะผู้ปกครองเด็กชายท.แต่เมื่อข้อความตามที่โจทก์ระบุไว้หน้าฟ้องดังกล่าวและตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้แทนเด็กชาย ท.ในฐานะผู้ปกครองเด็กชาย ท. ผู้เยาว์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของ บ.เจ้ามรดกได้แก่เด็กชาย ท. และจำเลย พร้อมกับบอกสัดส่วนที่เด็กชาย ท. มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกเป็นจำนวนเท่าใดไว้แล้วไม่จำเป็นต้องระบุเจ้ามรดกมีทายาทจำนวนกี่คน และเป็นผู้ใดหากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกเห็นว่า จำนวนทายาทของเจ้ามรดกหรือจำนวนทรัพย์สินที่โจทก์ขอแบ่งไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องให้การต่อสู้คดีไว้ ส่วนที่ฟ้องโจทก์ระบุวันที่ ส.ถึงแก่กรรมผิดไป แต่ตามภาพถ่ายใบมรณบัตรเอกสารท้ายฟ้องได้ระบุว่าส. ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่เท่าไร ซึ่งเมื่ออ่านฟ้องโจทก์ประกอบกับใบมรณบัตรเอกสารท้ายฟ้องแล้วย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องพิมพ์ข้อความผิดพลาดที่ถูกต้องเป็นวันที่ตามใบมรณบัตรที่แนบมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม มรดกที่มีผู้จัดการ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันตั้งผู้จัดการมรดก ทายาทจึงไม่จำต้องฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกภายใน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจและฟ้องเคลือบคลุม: ฟ้องไม่สมบูรณ์หากเอกสารไม่ถูกต้อง แต่ฟ้องไม่เคลือบคลุมหากรายละเอียดสืบได้ในชั้นพิจารณา
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นเอกสารที่จะต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 118 และตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ก็มีผลเพียงว่า จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในระหว่างที่เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 468,730.38 บาท ขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว สำหรับข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อใด และค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ไม่ทำให้ฟ้องไม่สมบูรณ์ สัญญาค้ำประกันมีผลผูกพันแม้ไม่บอกกล่าว
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นเอกสารที่จะต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 และตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ก็มีผลเพียงว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น แม้ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในระหว่างที่เป็นลูกจ้างโจทก์จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง ขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วส่วนข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อใด และค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม เหตุที่จำเลยที่ 1 ต้องทำสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องในระหว่างเป็นลูกจ้างโจทก์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นผลโดยตรงจากการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง ซึ่งตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 เข้าผูกพันตนยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1ดังกล่าว และตามสัญญาค้ำประกันก็ไม่มีข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ว่า หากจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์จะต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ก่อนแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดสัญญาเช่าทั้งหมด ศาลพิจารณาจากสภาพแห่งข้อหาและเหตุแห่งข้อหาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทซึ่งปลูกสร้างในที่ดินที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยทั้งสองเช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ ค่าเช่าครั้งหลังสุดเดือนละ2,000 บาท ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2530 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าและให้ส่งมอบอาคารพิพาทคืนแก่โจทก์ เป็นการกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์และเหตุแห่งข้อหา คือ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าอันทำให้สัญญาเช่าระงับไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองก็ยังครอบครองอาคารพิพาทอยู่โดยไม่มีสิทธิ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งแล้ว หาจำต้องกล่าวให้ละเอียดไปถึงว่าจำเลยที่ 1 เริ่มเช่าอาคารพิพาทจากใคร ตั้งแต่เมื่อใด มีหลักฐานการเช่าหรือไม่ ข้อตกลงในการเช่ามีอย่างไรและสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อใดไม่ เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องขับไล่: รายละเอียดสัญญาเช่าเป็นเรื่องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขับไล่โดยกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ และบรรยายถึงเหตุแห่งข้อหาคือโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าอันทำให้สัญญาเช่าระงับไปแล้วแต่จำเลยทั้งสองก็ยังครอบครองอาคารพิพาทของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิ โจทก์หาจำต้องกล่าวให้ละเอียดว่า จำเลยที่ 1 เริ่มเช่าอาคารพิพาทจากใคร ตั้งแต่เมื่อใด มีหลักฐานการเช่าหรือไม่ข้อตกลงในการเช่ามีอย่างไร และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อใดไม่เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ดังนี้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เข้าใจข้อกล่าวหา – ละเมิดเบียดบังเงินสหกรณ์
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการและเป็นพนักงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจำกัดโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบังยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมและเงินที่สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่าสมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเอียดเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงขาดสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ขาดรายละเอียดการกระทำละเมิด
โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบัง ยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติม และเงินที่ สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายข้ออ้าง ที่ อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็น ส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า สมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172เป็นฟ้องเคลือบคลุม.