คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 172

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,914 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบอกเลิกสัญญาการประกวดราคาและการริบเงินประกันซองเมื่อผู้ชนะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
คำฟ้องของจำเลยบรรยายเกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกสัญญากับโจทก์ที่ 1 และอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ทราบข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวแล้วแม้จะไม่มีเอกสารประกอบข้ออ้างนั้นก็ย่อมเป็นคำบรรยายฟ้องที่แสดงแจ้งชัดแล้ว ข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาจะมีอยู่หรือไม่อย่างไรย่อมสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาจำต้องแนบมากับคำฟ้องไม่ ส่วนที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่า จำเลยมิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เป็นข้อที่โจทก์ที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นโจทก์ในสำนวนแรกและคำให้การของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่สองนั้นกล่าวไว้อย่างเดียวกันว่าในวันนัดลงนามในสัญญาก่อสร้างกับจำเลยนั้นจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่าหนังสือของบริษัท ซ. ที่โจทก์ที่ 1 ยื่นแก่จำเลยครั้งแรกไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่1 ลงนามในสัญญาแทนบริษัท ซ. ได้ ในวันนั้นโจทก์ที่ 1 จึงลงนามไปฝ่ายเดียวก่อน โดยจะจัดการให้บริษัท ซ. ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 มีอำนาจลงนามมายื่นแก่จำเลยอีกครั้งหนึ่งคำฟ้องและคำให้การของโจทก์ที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นการยอมรับแล้วว่าในการลงนามในสัญญาก่อสร้างจะต้องให้บริษัท ซ. ลงนามด้วยดังนั้นที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ผิดสัญญาเพราะโจทก์ที่ 1 ไม่มีหน้าที่จะต้องนำบริษัท ซ. มาลงนามด้วยเพียงแต่โจทก์ที่ 1 ลงนามฝ่ายเดียวในสัญญาก็สมบูรณ์แล้วเนื่องจากมิได้มีข้อกำหนดระบุไว้เช่นนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากอัตรากำไรมาตรฐานและการประเมินสินค้าชำรุดเสียหายเป็นยอดขาย
โจทก์สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อและในนามของโจทก์เอง มิได้สั่งแทนบริษัท ท. แล้วโจทก์โอนขายสินค้าดังกล่าวให้บริษัท ท. เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับว่ามีการโอนหรือขายสินค้าดังกล่าวและโจทก์ไม่เคยขายสินค้าชนิดเดียวกันนี้ให้แก่ผู้อื่น การที่จำเลยคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์จากอัตรากำไรมาตรฐานของสินค้าตามประกาศของอธิบดีกรมสรรพากรจึงชอบแล้ว บริษัทโจทก์มอบอำนาจให้ จ. มาให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานประเมินแทนโจทก์โดยโจทก์ยอมรับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆของ จ. เสมือนหนึ่งโจทก์ได้กระทำการนั้น ๆ เอง เมื่อ จ.ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่าได้ตรวจพบว่าบริษัทโจทก์ลงบัญชีคุมสินค้าว่ามีสินค้าชำรุดและเสื่อมราคาเป็นจำนวนมาก และบริษัทได้ตัดบัญชีสินค้าเหล่านั้นออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือโดยมิได้ลงบัญชีขาย จ. ยอมรับผิดและยอมให้เจ้าพนักงานประเมินราคาสินค้าซึ่งไม่ได้ลงบัญชีขายไว้เป็นยอดขายของบริษัทโดยใช้ราคาเฉลี่ยหรือราคาปกติของการขายสินค้าของบริษัทแต่ละประเภทสินค้าในปีนั้น ๆเป็นเกณฑ์คำนวณ ต้องถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยประเมินสินค้าที่โจทก์อ้างว่าชำรุดเสียหายเป็นสินค้าที่โจทก์จำหน่ายไป จำเลยจึงมีอำนาจประเมินเช่นนั้นได้โดยชอบ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยประเมินภาษีการค้าของโจทก์โดยไม่ชอบอย่างไร ฟ้องโจทก์คัดค้านเฉพาะการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น ทั้งโจทก์มิได้คัดค้านในเรื่องการประเมินภาษีการค้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่อย่างใดเพียงแต่ขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับภาษีการค้าโดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์เข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับภาษีการค้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากอัตรากำไรมาตรฐานและการยินยอมให้ประเมินภาษีจากสินค้าชำรุด
โจทก์สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อและในนามของโจทก์เอง มิได้สั่งแทนบริษัท ท. แล้วโจทก์โอนขายสินค้าดังกล่าวให้บริษัท ท. เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับว่ามีการโอนหรือขายสินค้าดังกล่าว และโจทก์ไม่เคยขายสินค้าชนิดเดียวกันนี้ให้แก่ผู้อื่น การที่จำเลยคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์จากอัตรากำไรมาตรฐานของสินค้าตามประกาศของอธิบดีกรมสรรพากรจึงชอบแล้ว
บริษัทโจทก์มอบอำนาจให้ จ.มาให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานประเมินแทนโจทก์โดยโจทก์ยอมรับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ของ จ.เสมือนหนึ่งโจทก์ได้กระทำการนั้น ๆ เอง เมื่อ จ.ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่าได้ตรวจพบว่าบริษัทโจทก์ลงบัญชีคุมสินค้าว่ามีสินค้าชำรุดและเสื่อมราคาเป็นจำนวนมาก และบริษัทได้ตัดบัญชีสินค้าเหล่านั้นออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือโดยมิได้ลงบัญชีขาย จ.ยอมรับผิดและยอมให้เจ้าพนักงานประเมินราคาสินค้าซึ่งไม่ได้ลงบัญชีขายไว้เป็นยอดขายของบริษัทโดยใช้ราคาเฉลี่ยหรือราคาปกติของการขายสินค้าของบริษัทแต่ละประเภทสินค้าในปีนั้น ๆ เป็นเกณฑ์คำนวณ ต้องถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยประเมินสินค้าที่โจทก์อ้างว่าชำรุดเสียหายเป็นสินค้าที่โจทก์จำหน่ายไป จำเลยจึงมีอำนาจประเมินเช่นนั้นได้โดยชอบ
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยประเมินภาษีการค้าของโจทก์โดยไม่ชอบอย่างไร ฟ้องโจทก์คัดค้านเฉพาะการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น ทั้งโจทก์มิได้คัดค้านในเรื่องการประเมินภาษีการค้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับภาษีการค้าโดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์เข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับภาษีการค้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามบันทึกข้อตกลง และการใช้สิทธิประโยชน์จากสัญญาโดยบุคคลภายนอก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประการหนึ่งและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงอีกประการหนึ่ง ถือว่าเป็นฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว เป็นคำฟ้องที่ไปด้วยกันได้ไม่ขัดกันและไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ส่วนที่ระบาย สีแดงให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงของจำเลยทั้งสี่กับ บ. เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกใช้สิทธิถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสี่กับ บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคสอง หาใช่โจทก์ฟ้องให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงสำเนาต้นฉบับไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อสำคัญของคดี และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่านิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หาไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น ปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ และจำเลยไม่ได้โต้แย้งถือว่าจำเลยที่ 1 ได้สละประเด็นนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนจำนองทรัพย์มรดก - ความสุจริตของผู้รับจำนอง - สิทธิของทายาท - การแบ่งสิทธิเรียกร้อง
คำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องระบุว่า ท.กับพวกรวม 7 คนโดย จ.ผู้รับมอบอำนาจและข้าพเจ้า ท.กับพวกรวม 7 คน ปรากฏตามรายชื่อและที่อยู่ท้ายคำฟ้องนี้ พร้อมทั้งแนบรายชื่อและที่อยู่ของโจทก์ทั้งเจ็ดมาด้วย ส่วนตามคำฟ้องเดิมโจทก์ได้แนบหนังสือมอบอำนาจมาท้ายคำฟ้องด้วยว่า โจทก์ทั้งหกได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้รับมรดกของ ล.เจ้ามรดกเป็นผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจกระทำการดังจะกล่าวต่อไปนี้แทนข้าพเจ้าจนเสร็จการ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 เป็นผู้ฟ้องคดีแทน ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และจำเลยที่ 1 เป็นทายาทของ ล.เจ้ามรดกโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกร่วมกัน การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล และได้จัดการโอนมรดกมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามลำพังแล้วนำไปจำนองหนี้ส่วนตัวไว้กับจำเลยที่ 2 โดยทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอมย่อมเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 การจำนองดังกล่าวจึงเป็นกิจการที่ได้นำไปนอกชอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสองสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เสมอ ฟ้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับคดีมรดก จะนำอายุความตามมาตรา 1754มาบังคับมิได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของล.ที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ทั้งเจ็ดไว้กับจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 รับจำนองไว้โดยไม่สุจริต จึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ล.ซึ่งมีทายาทด้วยกัน 11 คนรวมทั้งโจทก์ทั้งเจ็ด การที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองย่อมเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแก่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ทายาทด้วยกันทั้งหมดทุกคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 เมื่อจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท 1 ใน 11 ส่วน จึงต้องเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งเจ็ดและทายาทอื่นซึ่งรวมแล้วเพียง10 ใน 11 ส่วนเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องชัดเจนและมีเหตุผลตามกฎหมาย โดยเฉพาะการกล่าวอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายและเจ้าหน้าที่ขัดขวาง
พระราชบัญญัติ ญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522หมวด 9 การคัดค้านการเลือกตั้ง บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ว่า กรณีที่จะร้องคัดค้านการเลือกตั้งได้นั้นเฉพาะกรณีที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมีการฝ่าฝืนมาตรา 26 มาตรา 32 มาตรา 34 มาตรา 51 หรือมาตรา 52 เท่านั้น คำร้องของผู้ร้องได้กล่าวอ้างถึงการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 32 เรื่องที่ผู้ได้รับเลือกตั้งใช้เงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทโดยไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำนวนเงินที่แน่นอนของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ใช้นั้นเป็นเท่าใด คงใช้วิธีประมาณการเอาเท่านั้นและมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องใดเท่าใด จ่ายไปเมื่อใด ให้แก่ใคร ส่วนที่กล่าวไว้ว่าใช้การซื้อเสียงด้วยเงินก็ไม่กล่าวว่าซื้อเสียงใคร จำนวนมากน้อยเท่าใดสิ้นเงินไปในการนี้เท่าใด ได้จ่ายไปก่อนหรือหลังจากมีการสมัครรับเลือกตั้งข้อกล่าวอ้างตามคำร้องจึงไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ซึ่งถูกกล่าวหาเข้าใจได้ดีพอที่จะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง นอกจากนั้นในคำร้องก็มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงเป็นการยืนยันให้เห็นว่า การจ่ายเงินจำนวนที่ผู้ร้องประมาณการมานั้นเป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งคงกล่าวแต่เพียงว่าใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทเท่านั้น คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุมสำหรับข้ออ้างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งตามมาตรา 52 ผู้ร้องกล่าวในคำร้องแต่เพียงว่า ในวันเลือกตั้งปรากฏว่าที่หน่วยเลือกตั้งบางหน่วย เช่น หน่วยเลือกตั้งบ้านโคกกระดี่อำเภอตาคลี กรรมการควบคุมการเลือกตั้งได้ช่วยกากากบาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 โดยไม่ได้กล่าวว่ากรรมการควบคุมการเลือกตั้งที่กระทำการดังที่อ้างนั้นเป็นใคร จำนวนคะแนนที่อ้างว่า กากบาทให้นั้นเป็นจำนวนเท่าใด จะทำให้ผลของการเลือกตั้งเปลี่ยนไปหรือไม่ ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องไม่อาจเข้าใจได้ว่าเจ้าพนักงานคนใดกระทำอย่างนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งไม่อาจเข้าใจข้อหาและต่อสู้ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้ถูกต้อง คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม เมื่อคำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 จึงไม่อาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาในเหตุอ้างสองประการดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องบังคับจำนองไม่เคลือบคลุม, อำนาจผู้ชำระบัญชี, ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
คำฟ้องที่บรรยายว่าจำเลยจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เพื่อประกันส.และว. ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ กำหนดไถ่ถอนภายใน 18 เดือนพ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนหนี้ของส.และว.เป็นหนี้อะไร เป็นรายละเอียดที่นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่ต้องบรรยายมาในฟ้องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาจำนอง มิได้ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยก็รับว่าเป็นหนี้เกิดจากสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงไม่ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาท้ายฟ้องฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ป.พ.พ. ไม่มีบทบัญญัติว่า ผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจะต้องชำระบัญชีให้เสร็จภายในกำหนดเวลาใด ดังนั้น ตราบใดที่การชำระบัญชียังไม่เสร็จ ผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจตาม ป.พ.พ. มาตรา 1259ซึ่งรวมทั้งอำนาจว่าต่างในนามห้าง ๆ นั้นในอรรถคดีด้วย ระยะเวลาการชำระบัญชีไม่ใช่อายุความ จะนำบทบัญญัติเรื่องอายุความมาใช้บังคับไม่ได้ สัญญาจำนองระบุไม่คิดดอกเบี้ย แก่กัน แต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดและโจทก์มีหนังสือทวงถามและให้ไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยไม่ชำระจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา224 วรรคหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2534 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนอง, เช่าซื้อ, ผู้ชำระบัญชี, อายุความ, ดอกเบี้ยผิดนัด: หลักเกณฑ์และขอบเขต
คำฟ้องที่บรรยายว่าจำเลยจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เพื่อประกัน ส. และ ว. ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ กำหนดไถ่ถอนภายใน 18 เดือน พ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ส่วนหนี้ของ ส. และ ว.เป็นหนี้อะไร เป็นรายละเอียดที่นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่ต้องบรรยายมาในฟ้องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาจำนอง มิได้ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยก็รับว่าเป็นหนี้เกิดจากสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงไม่ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาท้ายฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ป.พ.พ. ไม่มีบทบัญญัติว่า ผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจะต้องชำระบัญชีให้เสร็จภายในกำหนดเวลาใด ดังนั้น ตราบใดที่การชำระบัญชียังไม่เสร็จ ผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจตามป.พ.พ. มาตรา 1259 ซึ่งรวมทั้งอำนาจว่าต่างในนามห้าง ฯ นั้นในอรรถคดีด้วย
ระยะเวลาการชำระบัญชีไม่ใช่อายุความ จะนำบทบัญญัติเรื่องอายุความมาใช้บังคับไม่ได้
สัญญาจำนองระบุไม่คิดดอกเบี้ยแก่กัน แต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดและโจทก์มีหนังสือทวงถามและให้ไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากละเมิด: การคิดค่าขาดไร้อุปการะ, ค่าปลงศพ, และการไม่มีส่วนร่วมเสี่ยงภัย
แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าการคิดค่าขาดไร้อุปการะเริ่มตั้งแต่เมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใด จัดการศพอยู่กี่วัน วันละเท่าใดก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่ผู้ตายชวนจำเลยขับขี่รถยนต์ไปกับโจทก์ ไม่มีกฎหมายรับรองว่าผู้ตายมีส่วนร่วมเสี่ยงภัยและต้องเฉลี่ยความรับผิดในเรื่องค่าเสียหายกับจำเลย เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยจึงไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายเฉลี่ยความรับผิดชอบในเรื่องค่าเสียหายกับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากละเมิด: การประเมินค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพที่สมเหตุสมผล
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายคือค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายโจทก์ที่ 1 ขอค่าขาดไร้อุปการะ 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ขอค่าขาดไร้อุปการะคนละ 50,000 บาท และนอกจากนี้โจทก์ต้องเสียค่าจัดการศพและค่าปลงศพเป็นเงิน 40,000 บาท คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนการคิดค่าขาดไร้อุปการะตั้งแต่เมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใด และจัดการศพอยู่กี่วัน วันละเท่าใดนั้น โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้เพราะเป็นเพียงรายละเอียด ดังนี้ฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม ป.พ.พ. มาตรา 1461 บัญญัติว่า สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ดังนั้นผู้ตายในฐานะภริยาโจทก์ย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าผู้ตายเป็นผู้ชวนจำเลยขับขี่รถยนต์ไปกับโจทก์ที่ 4 และที่ 5 นับว่ามีส่วนร่วมเสี่ยงภัยอยู่ด้วยและต้องเฉลี่ยความรับผิดนั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่มีกฎหมายรับรองเมื่อไม่ได้ความว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายเฉลี่ยความรับผิดชอบค่าเสียหายกับจำเลย.
of 292