พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังสัญญาซื้อขาย: สิทธิครอบครองแทนจำเลย & ไม่เป็นการแย่งการครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำบางส่วน เงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยละเอียด และแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย การครอบครองแทน และสิทธิในการเข้าครอบครองที่ดินของตน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำบางส่วน เงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยละเอียด และแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4205/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ส่วนลดประกันภัยต่อเป็นรายได้, เงินสำรองเบี้ยประกันภัยเป็นรายได้ในปีถัดไป, รายได้จากการค้าเป็นรายรับ
เมื่อได้รับเบี้ยประกันจากผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์นำเบี้ยประกันภัยไปจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อบรรเทาความเสียหายในกรณีที่ต้องชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยโจทก์ได้รับส่วนลดหรือค่านายหน้าจากบริษัทที่รับประกันภัยต่อ และได้นำส่วนลดดังกล่าวมาบันทึกเป็นรายได้ในกิจการของโจทก์เงินส่วนลดในการประกันภัยต่อที่โจทก์ได้รับจึงเป็นเงินได้หรือรายรับที่โจทก์ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการในรอบระยะเวลาบัญชีที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยแม้เงินจำนวนดังกล่าวผู้รับประกันภัยต่อจะนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน เพราะเป็นคนละนิติบุคคล
ความหมายของคำว่า "รายรับ" ตามมาตรา 79 เป็นเรื่องของภาษีการค้าไม่อาจนำมาใช้ในกรณีของภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำดอกเบี้ยและเงินปันผลรับ รายได้ค่าเช่าและกำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สิน รวมทั้งรายได้เบ็ดเตล็ดมารวมเป็นรายรับเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ ไม่ได้กล่าวถึงค่าสินไหมรับคืนอัคคีภัย ค่าสินไหมรับคืนรถยนต์กับค่าสำรวจรายงานอัคคีภัยที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเจ้าพนักงานประเมินนำรายรับทั้งสามรายการดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการไม่ชอบนั้น จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง
เงินสำรองจากเบี้ยประกันภัยที่โจทก์กันไว้ตามมาตรา 65 ตรี (1) (ข) นั้นจะต้องถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปีถัดไป
ความหมายของคำว่า "รายรับ" ตามมาตรา 79 เป็นเรื่องของภาษีการค้าไม่อาจนำมาใช้ในกรณีของภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำดอกเบี้ยและเงินปันผลรับ รายได้ค่าเช่าและกำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สิน รวมทั้งรายได้เบ็ดเตล็ดมารวมเป็นรายรับเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ ไม่ได้กล่าวถึงค่าสินไหมรับคืนอัคคีภัย ค่าสินไหมรับคืนรถยนต์กับค่าสำรวจรายงานอัคคีภัยที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเจ้าพนักงานประเมินนำรายรับทั้งสามรายการดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการไม่ชอบนั้น จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง
เงินสำรองจากเบี้ยประกันภัยที่โจทก์กันไว้ตามมาตรา 65 ตรี (1) (ข) นั้นจะต้องถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปีถัดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4163/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาภาษีอากรที่ถูกต้องและอายุความฟ้องเรียกภาษีที่ขาด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรและยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่อเจ้าพนักงานของโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาในบัตรราคา จึงได้ทำการประเมินราคาใหม่และเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มจากจำเลย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินภาษีอากรส่วนที่ขาดเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งสินค้าที่นำเข้า จึงมีอายุความสิบปีนับจากวันที่นำของเข้า
โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินภาษีอากรส่วนที่ขาดเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งสินค้าที่นำเข้า จึงมีอายุความสิบปีนับจากวันที่นำของเข้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ: การไม่ออกคำสั่งเวรรักษาความปลอดภัย หากมีคำสั่งเดิมอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นประมาทเลินเล่อ
ในขณะที่มีคนร้ายลอบเข้าไปวางเพลิงสำนักงานป่าไม้จังหวัดทำให้ทรัพย์สินเสียหายไม่มีผู้อยู่เวรและตรวจเวร แต่ในระหว่างเกิดเหตุมีคำสั่งตั้งเวรยามกำหนดเจ้าหน้าที่เวรยามไว้โดยแน่ชัดสามารถปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวได้อยู่แล้ว โดยมีผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจเวรยามจำเลยซึ่งเป็นป่าไม้จังหวัดหาจำต้องออกคำสั่งตั้งเวรยามซ้ำอีกไม่ การที่จำเลยมิได้ออกคำสั่งตั้งเวรยามใหม่จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม - สัญญาเงินกู้เบิกเกินบัญชี - ดอกเบี้ยเพิ่ม - สิทธิของโจทก์ในการบังคับชำระหนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โดยถือเอาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 13777 ของจำเลยที่มีไว้กับโจทก์เพื่อเดินสะพัดบัญชีกับโจทก์ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2526 จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 3,256,239.21 บาท จำเลยได้จำนองที่ดินและเครื่องจักรเป็นประดับหนี้ดังกล่าว หนี้ถึงกำหนดแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้หากไม่ชำระให้ครบ ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินยังไม่ชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ คำฟ้องดังกล่าวถือว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำของบีงคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้าหาครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้
่
ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้
่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อและค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ ศาลพิพากษาตามมูลหนี้เดิมได้ ไม่ถือว่านอกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายเป็นรายงวดรวมกันมาศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเท่ากับจำนวนงวดที่โจทก์เรียกร้องมาได้ไม่เป็นการนอกคำฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อและค่าเสียหาย: ศาลพิพากษาให้ชำระหนี้รวมได้ ไม่เป็นการนอกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายเป็นรายงวดรวมกันมาศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเท่ากับจำนวนงวดที่โจทก์เรียกร้องมาได้ไม่เป็นการนอกคำฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3518/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องคดีเช็ค: รายละเอียดการรับเช็คเป็นเรื่องที่นำสืบในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คแล้วมีผู้มีชื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ โจทก์ลงวันที่ในเช็คนำไปเรียกเก็บเงินแต่เรียกเก็บไม่ได้ และได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแล้วจำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำบังคับ กับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วไม่จำเป็นจะต้องบรรยายว่ารับเช็คพิพาทมาจากใครชื่อใด ในฐานะอะไร ชำระหนี้ค่าอะไร เพราะเป็นรายละเอียดที่พึงจะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อนายจ้างจากความเสียหายอันเกิดจากการอนุมัติสินเชื่อผิดระเบียบ และการประเมินค่าเสียหายจากหลักประกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นลูกจ้างและกรรมการบริษัทโจทก์โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยเคยเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การและตามทางนำสืบของจำเลยจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ดังนั้น เมื่อจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงาน โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติ และจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า 9 ราย รวมเป็นเงิน16,300,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 9 แปลง ตีราคาตามราคาประเมินได้ราคาไม่คุ้มหนี้ ลูกค้าทั้ง 9 ราย จึงไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าทั้ง 9 รายเพียง 31,041.09 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในต้นเงินและดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างชำระคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รวมตลอดถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยชัดแจ้งแล้วหาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายยังไม่เกิดและไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายไม่ จำเลยอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินโดยผิดระเบียบ โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตีราคาตามราคาประเมิน แต่ที่ดินอาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมินที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับราคาประเมิน แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้จากตัวลูกหนี้และหลักประกัน จึงไม่อาจทราบความเสียหายที่แท้จริงได้ ดังนั้นถ้ามีการบังคับจำนองที่ดินที่เป็นหลักประกันได้ราคาที่ดินมามากกว่าราคาประเมินตามฟ้องโจทก์ ราคาที่ดินส่วนที่มากกว่านี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลย ต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นค่าเสียหายที่เป็นหนี้เงินตามจำนวนที่จำเลยให้ลูกค้ากู้ยืมโดยฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก คืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มิใช่ดอกเบี้ยในอัตราที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าของโจทก์ตามสัญญากู้ในทางการค้าของโจทก์.