คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 179

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งเลิกสหกรณ์: เมื่อสหกรณ์ดำเนินการไม่ได้ผล หรือก่อให้เกิดความเสียหาย
โจทก์จำเลยตกลงกันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นข้อเดียวว่า จำเลยมีสิทธิสั่งเลิกสหกรณ์โจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์จำเลยขอสละข้อต่อสู้อื่นๆ และไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป ย่อมถือว่าโจทก์จำเลยขอปิดคดีของตนเสร็จแล้ว ไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ต่อไปอีก
เมื่อได้ความว่าสหกรณ์จำกัดไม่อาจดำเนินการให้ได้ผลดี หรือการดำเนินการของสหกรณ์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์หรือประโยชน์ส่วนรวมดังระบุไว้ในมาตรา 51 (3) แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 แล้ว นายทะเบียนสหกรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งเลิกสหกรณ์ได้ทันทีโดยไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องตามมาตรา 47 ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง: การเพิ่มเจ้าของรถและผู้รับประกันภัยใหม่เข้าในคำฟ้องเดิมที่เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยจากจำเลยที่ 1 ส.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถคันดังกล่าวมาตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุร่วมกับจำเลยที่ 1 และเป็นผู้เอาประกันภัย ส.เป็นลูกจ้างของจำเลยที่1กับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.แม้คำฟ้องที่ยื่นภายหลังจะกล่าวอ้างพาดพิงไปถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่โจทก์ยังขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามข้อหาเดิม กรณีจึงเป็นเรื่องเพิ่มเติมข้อเท็จจริงฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ คำฟ้องเดิมและที่ยื่นภายหลังเกี่ยวข้องกัน โจทก์ชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานที่รับมอบสินค้าเป็นสถานที่ที่มูลคดีซื้อขายเกิดขึ้น การอนุญาตฟ้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาล และการโต้แย้งคำสั่งศาลต้องกระทำทันที
สถานที่รับมอบสินค้าที่สั่งซื้อเป็นสถานที่ที่มูลคดีผิดสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วย
การที่ศาลใดจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลนั้น ศาลย่อมจะใช้ดุลพินิจสั่งตั้งแต่ชั้นพิจารณาคำร้องของโจทก์ที่ยื่นพร้อมคำฟ้อง เมื่อได้อนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลนั้นแล้ว แม้ต่อมาจะปรากฏว่าการพิจารณาคดีที่ศาลนั้นมิได้เป็นการสะดวก ก็ไม่ทำให้การสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องกลายเป็นการสั่งอนุญาตโดยไม่มีอำนาจ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยต้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ได้
จำเลยเคยยื่นคำร้องคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง แต่ต่อมาจำเลยได้แถลงต่อศาลว่าจำเลยไม่ติดใจคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ตามคำร้องดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ถือว่าจำเลยมิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานที่รับมอบสินค้าเป็นสถานที่ที่มูลคดีซื้อขายเกิดขึ้น การแก้ไขฟ้องต้องโต้แย้งทันที ศาลมีอำนาจพิจารณาตามที่อนุญาต
สถานที่รับมอบสินค้าที่สั่งซื้อเป็นสถานที่ที่มูลคดีผิดสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วย
การที่ศาลใดจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลนั้นศาลย่อมจะใช้ดุลพินิจสั่งตั้งแต่ชั้นพิจารณาคำร้องของโจทก์ที่ยื่นพร้อมคำฟ้อง เมื่อได้อนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลนั้นแล้ว แม้ต่อมาจะปรากฏว่าการพิจารณาคดีที่ศาลนั้นมิได้เป็นการสะดวกก็ไม่ทำให้การสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องกลายเป็นการสั่งอนุญาตโดยไม่มีอำนาจ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยต้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ได้
จำเลยเคยยื่นคำร้องคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องแต่ต่อมาจำเลยได้แถลงต่อศาล ว่าจำเลยไม่ติดใจคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ตามคำร้องดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ถือว่าจำเลยมิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้อง เพิ่มข้อเท็จจริงใหม่ และอายุความสัญญาจะซื้อจะขายที่มีข้อตกลงพิเศษ
เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญา ครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระบริษัท ว. และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท ว. เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้น โจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย. ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัท ว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริง เพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลยโจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระ ข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้น การมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าว จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อเท็จจริงและการแบ่งเงินจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: อายุความ 10 ปี
เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญาครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย.ค้างชำระบริษัท ว..และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัทว.เรียบร้อยแล้ว. จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา. ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้.เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้นโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย.ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัทว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลย โจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้นการมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าวจึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมฟ้องแย้งในคดีเช่า: ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมจึงจะรวมพิจารณาได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าและเรียกค่าเสียหายเพราะครบกำหนดการเช่าตามสัญญาและโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยเสีย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้องการบอกเลิกการเช่าไม่ชอบ โจทก์ไม่เสียหาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การโดยฟ้องแย้งมาในคำร้องว่า เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยออกจากที่ดิน โจทก์ต้องชดใช้ค่าถมที่ดินให้จำเลยเป็นเงิน 55,000 บาท กับให้โจทก์ใช้เงินที่ยืมจำเลยไปอีก 5,000 บาท ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การก็เพื่อให้ศาลสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินค่าถมที่ดินให้จำเลย เมื่อจำเลยต้องออกไปจากที่ดินนั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินยืมให้จำเลยก็เป็นเรื่องอื่น คำฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกันกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งต้องเกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งที่ไม่เชื่อมโยงกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าและเรียกค่าเสียหายเพราะครบกำหนดการเช่าตามสัญญาและโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้อง. การบอกเลิกการเช่าไม่ชอบโจทก์ไม่เสียหาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การโดยฟ้องแย้งมาในคำร้องว่า เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยออกจากที่ดิน โจทก์ต้องชดใช้ค่าถมที่ดินให้จำเลยเป็นเงิน 55,000 บาท กับให้โจทก์ใช้เงินที่ยืมจำเลยไปอีก 5,000 บาท ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การก็เพื่อให้ศาลสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินค่าถมที่ดินให้จำเลย เมื่อจำเลยต้องออกไปจากที่ดินนั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินยืมให้จำเลยก็เป็นเรื่องอื่นคำฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกันกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยฟ้องแย้งหักกลบลบหนี้ในคดีแพ่งเมื่อมีหนี้เงินถึงกำหนดชำระทั้งสองฝ่าย
ในคดีแพ่งนั้นเมื่อจำเลยถูกฟ้องแล้ว นอกจากจำเลยจะให้การปฏิเสธแล้วจำเลยย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งได้หากหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและถึงกำหนดชำระแล้ว และเมื่อฟังว่าหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้มิใช่เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยก็ย่อมได้ประโยชน์และศาลจะต้องพิพากษาให้ในจำนวนที่เหลือจากหักกลบลบหนี้กันแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไป เมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกัน และถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่าย เมื่อฟังเป็นจริงด้วยกันแล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งเมื่อถูกฟ้องร้อง
ในคดีแพ่งนั้นเมื่อจำเลยถูกฟ้องแล้ว นอกจากจำเลยจะให้การปฏิเสธแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งได้หากหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและถึงกำหนดชำระแล้วและเมื่อฟังว่าหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้มิใช่เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยก็ย่อมได้ประโยชน์และศาลจะต้องพิพากษาให้ในจำนวนที่เหลือจากหักกลบลบหนี้กันแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไปเมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกันและถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่ายเมื่อฟังเป็นจริงด้วยกัน แล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหักจึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
of 35