พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องหลังสืบพยาน, ที่ดินพิพาท, การออกโฉนดทับที่ดินเดิม ศาลฎีกายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโฉนดเลขที่ 488 หลังจากจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ขอแก้เลขที่โฉนดเป็น 448 เมื่อปรากฏว่าฟ้องนอกจากอ้างเลขโฉนดแล้ว ยังได้อ้างเลขที่ดินเลขหน้าสำรวจ เล่มที่และหน้า ซึ่งตรงกับโฉนดเลขที่ 448 แสดงว่าโจทก์อ่านเลขโฉนดผิด การแก้ไขดังกล่าวไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ศาลอนุญาตให้แก้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3860/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยศาล, การแก้ไขฟ้อง, และคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 มิใช่บทบังคับให้ศาลต้องทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามคำขอของคู่ความทุกเรื่อง ถ้าเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว ไม่เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ขอ หรือคดีจำเป็นต้องดำเนินการพิจารณาต่อไป ก็อาจมีคำสั่งให้รอไว้วินิจฉัยในคำพิพากษาได้
ฟ้องเดิมบรรยายว่า "จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง" ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2 มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฟ้องเดิมบรรยายว่า "จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง" ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2 มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3860/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจศาลในการวินิจฉัยฟ้องเคลือบคลุม, การแก้ไขฟ้อง, และคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 มิใช่บทบังคับให้ศาลต้องทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามคำขอของคู่ความทุกเรื่อง ถ้าเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว ไม่เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ขอ หรือคดีจำเป็นต้องดำเนินการพิจารณาต่อไป ก็อาจมีคำสั่งให้รอไว้วินิจฉัยในคำพิพากษาได้
ฟ้องเดิมบรรยายว่า 'จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง' ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฟ้องเดิมบรรยายว่า 'จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง' ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชี้สองสถาน, การแก้ไขคำให้การ, และสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีขับไล่
การชี้สองสถานคือการกะประเด็นข้อพิพาทและกำหนดหน้าที่นำสืบ การกะประเด็นข้อพิพาทย่อมกะได้จากคำฟ้องและคำให้การซึ่งเป็นคำคู่ความ คำคู่ความเท่านั้นที่จะตั้งประเด็นระหว่างคู่ความได้ การฟังคำแถลงของคู่ความ และการสอบถามคู่ความเป็นเรื่องที่กฎหมายประสงค์แต่เพียงเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทเท่านั้น จะฟังคำแถลงของคู่ความหรือสอบถามคู่ความแล้วตั้งประเด็นขึ้นใหม่หาได้ไม่ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยไม่ได้สอบถามหรือฟังคำแถลงของคู่ความก่อน จึงเป็นการชี้สองสถานโดยชอบแล้ว
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยยืนยันว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตตราจองของโจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยอันเป็นข้อต่อสู้เดียวกับคำให้การซึ่งจำเลยได้สละแล้วในวันชี้สองสถาน กรณีจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถานจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
ในชั้นชี้สองสถานคู่ความแถลงไม่ติดใจประเด็นข้อ 1 ที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตตราจองของโจทก์หรือไม่ ประเด็นข้อนี้จึงยุติ รูปคดีไม่มีเหตุที่จะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป จำเลยจึงขอให้สืบพยานในประเด็นข้อนี้อีกไม่ได้ บันทึกข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จำเลยจะทำต่อหน้าศาลโดยไม่ขอให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยยืนยันว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตตราจองของโจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยอันเป็นข้อต่อสู้เดียวกับคำให้การซึ่งจำเลยได้สละแล้วในวันชี้สองสถาน กรณีจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถานจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
ในชั้นชี้สองสถานคู่ความแถลงไม่ติดใจประเด็นข้อ 1 ที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตตราจองของโจทก์หรือไม่ ประเด็นข้อนี้จึงยุติ รูปคดีไม่มีเหตุที่จะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป จำเลยจึงขอให้สืบพยานในประเด็นข้อนี้อีกไม่ได้ บันทึกข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จำเลยจะทำต่อหน้าศาลโดยไม่ขอให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชี้สองสถาน, การแก้ไขคำให้การ, และสัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
การชี้สองสถานคือการกะประเด็นข้อพิพาทและกำหนดหน้าที่นำสืบ การกะประเด็นข้อพิพาทย่อมกะได้จากคำฟ้องและคำให้การซึ่งเป็นคำคู่ความ คำคู่ความเท่านั้นที่จะตั้งประเด็นระหว่างคู่ความได้ การฟังคำแถลงของคู่ความและการสอบถามคู่ความเป็นเรื่องที่กฎหมายประสงค์แต่เพียงเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทเท่านั้น จะฟังคำแถลงของคู่ความหรือสอบถามคู่ความแล้วตั้งประเด็นขึ้นใหม่หาได้ไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยไม่ได้สอบถามหรือฟังคำแถลงของคู่ความก่อน จึงเป็นการชี้สองสถานโดยชอบแล้ว
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยยืนยันว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตตราจองของโจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยอันเป็นข้อต่อสู้เดียวกับคำให้การซึ่งจำเลยได้สละแล้วในวันชี้สองสถาน กรณีจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถาน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
ในชั้นชี้สองสถานคู่ความแถลงไม่ติดใจประเด็นข้อ 1 ที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตตราจองของโจทก์หรือไม่ ประเด็นข้อนี้จึงยุติ รูปคดีไม่มีเหตุที่จะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป จำเลยจึงขอให้สืบพยานในประเด็นข้อนี้อีกไม่ได้
บันทึกข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จำเลยจะทำต่อหน้าศาลโดยไม่ขอให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยยืนยันว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตตราจองของโจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยอันเป็นข้อต่อสู้เดียวกับคำให้การซึ่งจำเลยได้สละแล้วในวันชี้สองสถาน กรณีจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถาน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
ในชั้นชี้สองสถานคู่ความแถลงไม่ติดใจประเด็นข้อ 1 ที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตตราจองของโจทก์หรือไม่ ประเด็นข้อนี้จึงยุติ รูปคดีไม่มีเหตุที่จะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป จำเลยจึงขอให้สืบพยานในประเด็นข้อนี้อีกไม่ได้
บันทึกข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จำเลยจะทำต่อหน้าศาลโดยไม่ขอให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีและการแก้ไขฟ้อง: ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีได้ และแก้ฟ้องได้แม้หลังวันสืบพยาน
การที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่โจทก์ไม่มาศาล ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดี ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สั่งจำหน่ายคดีโดยผิดพลาด และศาลสั่งยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้วก็ตามโจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ได้ ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
โจทก์ขอแก้ฟ้องจากคำว่า "เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร" เป็น "เช็คสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร" เป็นการขอแก้ถ้อยคำที่พิมพ์ผิดพลาดตกหล่นไปเล็กน้อย ย่อมแก้ได้เสมอแม้หลังวันสืบพยาน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
โจทก์ขอแก้ฟ้องจากคำว่า "เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร" เป็น "เช็คสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร" เป็นการขอแก้ถ้อยคำที่พิมพ์ผิดพลาดตกหล่นไปเล็กน้อย ย่อมแก้ได้เสมอแม้หลังวันสืบพยาน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและการแก้ไขฟ้องหลังวันสืบพยาน ศาลฎีกาวินิจฉัยไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือเป็นการไม่ชอบ
การที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะเหตุที่โจทก์ไม่มาศาล ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดี ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สั่งจำหน่ายคดีโดยผิดพลาด และศาลสั่งยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ได้ ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
โจทก์ขอแก้ฟ้องจากคำว่า 'เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร' เป็น 'เช็คสหธนาคารกรุงเทพจำกัดสาขาวัดไทร' เป็นการขอแก้ถ้อยคำที่พิมพ์ผิดพลาดตกหล่นไปเล็กน้อย ย่อมแก้ได้เสมอแม้หลังวันสืบพยาน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
โจทก์ขอแก้ฟ้องจากคำว่า 'เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวัดไทร' เป็น 'เช็คสหธนาคารกรุงเทพจำกัดสาขาวัดไทร' เป็นการขอแก้ถ้อยคำที่พิมพ์ผิดพลาดตกหล่นไปเล็กน้อย ย่อมแก้ได้เสมอแม้หลังวันสืบพยาน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องกรณีเช็ค: ศาลอนุญาตได้หากเป็นการขยายข้อเท็จจริงเดิมและไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามเช็คสองฉบับโดยเช็คฉบับแรกห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวลงชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ส่วนเช็คฉบับที่สองจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย คำฟ้องดังกล่าวโจทก์นำสืบได้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 ได้เชิดให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการใด ๆ แทนห้างจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีอำนาจเช่นนั้น ดังนั้นการที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า แม้ห้างจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการไว้มิให้หุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจกระทำการโดยลำพังได้ก็ตามแต่ในทางปฏิบัติห้างจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2เป็นผู้ทำการแทนห้างแต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นเหตุให้โจทก์และบุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวมีอำนาจกระทำการแทนห้างจำเลยที่ 1 ได้ จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และเป็นการเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง: การเชิดอำนาจตัวแทนทำให้เชื่อว่ามีอำนาจกระทำการแทน และไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามเช็คสองฉบับโดยเช็คฉบับแรกห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวลงชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ส่วนเช็คฉบับที่สองจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย คำฟ้องดังกล่าวโจทก์นำสืบได้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 ได้เชิดให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการใด ๆ แทนห้างจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2มีอำนาจเช่นนั้น ดังนั้นการที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า แม้ห้างจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการไว้มิให้หุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจกระทำการโดยลำพังได้ก็ตามแต่ในทางปฏิบัติห้างจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทนห้างแต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นเหตุให้โจทก์และบุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวมีอำนาจกระทำการแทนห้างจำเลยที่ 1 ได้ จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และเป็นการเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2909/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้อง, การเลิกจ้าง, และข้อยกเว้นค่าชดเชย: กรณีลูกจ้างเคยถูกจำคุกก่อนเข้าทำงาน
เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ทำการชี้สองสถาน หรือทำการสืบพยานโจทก์ย่อมยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ก่อนศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษา
เมื่อศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์มิได้จงใจทำความเสียหายให้จำเลย จำเลยจะอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ย่อมเล็งเห็นผลทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยในข้อเท็จจริงมิได้ อุทธรณ์จำเลยต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคแรก
ข้อยกเว้นซึ่งนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำซึ่งเลิกจ้างตามประกาศกระทราวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หมายถึง ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลให้จำคุกคดีถึงที่สุดขณะที่เป็นลูกจ้าง หาใช่ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วจึงมาเป็นลูกจ้างไม่
เมื่อศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์มิได้จงใจทำความเสียหายให้จำเลย จำเลยจะอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ย่อมเล็งเห็นผลทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยในข้อเท็จจริงมิได้ อุทธรณ์จำเลยต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคแรก
ข้อยกเว้นซึ่งนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำซึ่งเลิกจ้างตามประกาศกระทราวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หมายถึง ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลให้จำคุกคดีถึงที่สุดขณะที่เป็นลูกจ้าง หาใช่ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วจึงมาเป็นลูกจ้างไม่