พบผลลัพธ์ทั้งหมด 138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12437/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: ค่าเสียหายจากภาระจำยอมที่ไม่จดทะเบียน แม้ฟ้องเพิ่มเติมหลังคดีเดิมดำเนินอยู่ ก็เป็นฟ้องซ้อน
คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. เป็นผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่ต้องดูแลและบำรุงรักษาสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ต้องสร้างถนนบนที่ดินพิพาทเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสูงเทียบเท่าถนนสาธารณะ และจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน แต่อ้างเพิ่มเติมว่า การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. เพิกเฉยไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยเพื่อเป็นสวัสดิการที่พักให้แก่พนักงานของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเช่าที่พักให้แก่พนักงานของโจทก์และขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งเจ็ด ซึ่งค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. ไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามฟ้องในคดีก่อน อันเป็นค่าเสียหายที่โจทก์สามารถฟ้องเรียกได้ในคดีก่อนอยู่แล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องคดีก่อนเป็นคดีผู้บริโภค คดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ.1543/2552 ของศาลชั้นต้น ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เป็นคดีผู้บริโภค และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแพ่งสามัญ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ให้งดชี้สองสถานและกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่อง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อซึ่งได้แจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือแจ้งอนุมัติสินเชื่อ โจทก์จึงชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและมีความเกี่ยวข้องกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และ 180 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้อันเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
เดิมโจทก์ฟ้องคดีก่อนเป็นคดีผู้บริโภค คดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ.1543/2552 ของศาลชั้นต้น ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เป็นคดีผู้บริโภค และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแพ่งสามัญ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ให้งดชี้สองสถานและกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่อง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อซึ่งได้แจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือแจ้งอนุมัติสินเชื่อ โจทก์จึงชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและมีความเกี่ยวข้องกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และ 180 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้อันเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12377/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลบังคับเมื่อเจตนาตรงกัน แม้กรมธรรม์ออกภายหลัง การรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัย
สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ตามคำขอเอาประกันภัยรถยนต์ ระบุว่า อ. ขอเอาประกันภัยรถยนต์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 โดยมีความประสงค์ให้กรมธรรม์มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 แม้ตามกรมธรรม์จะระบุวันทำสัญญาประกันภัยวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 แต่การที่โจทก์ยินยอมระบุให้ระยะเวลาประกันภัยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 สิ้นสุดวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 ตามคำขอเอาประกันภัยของ อ. ถือได้ว่าเป็นคำสนองตอบรับคำเสนอตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 สัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นและมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 สัญญาหาได้เกิดขึ้น ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2551 ไม่ เมื่อเหตุละเมิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2551 จึงเกิดขึ้นในระยะเวลาประกันภัย ส่วนการออกกรมธรรม์ประกันภัยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อการฟ้องร้องบังคับคดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 867 วันที่ออกกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเวลาภายหลังจากที่สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายในระยะเวลาที่สัญญาประกันภัยมีผลบังคับและโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อรถยนต์แล้ว โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12156/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อและการแก้ไขคำพิพากษา: ศาลฎีกาห้ามแก้ไขคำพิพากษาเดิมแม้มีการอ้างเหตุใหม่
เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าศาลชั้นต้นนับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาอีกคดีชอบหรือไม่ และถึงที่สุดแล้ว จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการนับโทษต่อและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยใหม่โดยอ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 160 และ ป.อ. มาตรา 91 อีกไม่ได้ เพราะหากศาลฎีกาฟังตามที่จำเลยอ้างแล้ววินิจฉัยให้เพิกถอนการนับโทษต่อและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกา ขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 190
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12154/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญาที่รอการลงโทษ: ศาลไม่อาจบวกโทษซ้ำหากเคยถูกบังคับโทษในคดีอื่นแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 484/2555 บวกเข้ากับโทษในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1959/2555 แล้ว จึงเป็นกรณีที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก โทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษได้ถูกบังคับโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1959/2555 ของศาลชั้นต้นแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ 484/2555 มาบวกโทษซ้ำในคดีนี้ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12151/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง: การประกาศห้ามเสพยาเสพติดให้โทษต้องครอบคลุมเฮโรอีนด้วยหรือไม่
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทั้งนี้ ตามที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา" ซึ่งคำว่า "ทั้งนี้" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า ตามที่กล่าวมานี้ ดังนี้ คำว่า ตามที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงครอบคลุมถึงยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นข้อความที่กล่าวไว้ก่อนคำว่า ตามที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มิใช่ครอบคลุมเฉพาะการเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทเท่านั้น เมื่ออธิบดีกรมตำรวจออกข้อกำหนดห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน ตามข้อกำหนดกรมตำรวจ เรื่อง กำหนดชื่อและประเภทของวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและประเภทของรถที่ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจตรวจสอบผู้ขับขี่ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2537 โดยยังไม่ได้ออกข้อกำหนดห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพเฮโรอีน ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11153/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและฝ่าฝืนคำสั่งรื้อถอน: ประเด็นฟ้องชอบด้วยกฎหมาย, อายุความ, และการปรับรายวัน
พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 4 บัญญัติความหมายคำว่า อาคาร ว่าให้หมายความรวมถึงส่วนต่าง ๆ ของอาคาร และคำว่า ดัดแปลง ว่า เปลี่ยนแปลง ต่อเติม เพิ่ม ลด หรือขยายซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ ของโครงสร้างของอาคารหรือส่วนต่าง ๆ ของอาคารซึ่งได้ก่อสร้างไว้แล้วให้ผิดไปจากเดิม และมิใช่การซ่อมแซมหรือการดัดแปลงที่กำหนดในกฎกระทรวง การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำการดัดแปลงอาคารตึกแถวจากเดิมซึ่งเป็นอาคาร 3 ชั้น ดัดแปลงเป็นอาคาร 5 ชั้น โดยทำการก่อสร้างเสาเหล็กขึ้นตามชั้นต่าง ๆ และทำการก่อสร้างพื้น ค.ส.ล. ในชั้นที่ 5 ด้วย อันเป็นการเพิ่มขยายขอบเขต รูปทรง น้ำหนัก ทำให้รูปแบบโครงสร้างของอาคารที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วผิดไปจากเดิมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นและไม่ได้รับยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายให้กระทำได้ พร้อมทั้งอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 4 จึงเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดครบองค์ประกอบความผิดฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตลอดจนข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
เมื่อจำเลยกระทำความผิดฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ต่อเนื่องกันไปถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2551 จึงต้องเริ่มนับอายุความในวันที่ 12 มิถุนายน 2551 เมื่อนับถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 5 ปี คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคาร เมื่อครบ 60 วัน ตามคำสั่งที่ให้รื้อถอนอาคารเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 แล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อนับถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 5 ปี คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเช่นกัน
เมื่อจำเลยกระทำความผิดฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ต่อเนื่องกันไปถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2551 จึงต้องเริ่มนับอายุความในวันที่ 12 มิถุนายน 2551 เมื่อนับถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 5 ปี คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคาร เมื่อครบ 60 วัน ตามคำสั่งที่ให้รื้อถอนอาคารเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 แล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อนับถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 5 ปี คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10488/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับโทษทางอาญาด้วยการตายของผู้กระทำผิด และสิทธิในการรับคืนค่าปรับของทายาท
ป.อ. มาตรา 38 บัญญัติว่า "โทษให้เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิด" เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โทษตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นอันระงับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายยื่นคำร้องขอคืนค่าปรับที่จำเลยชำระต่อศาลตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10252/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่แจ้งวันนัดและไม่ออกหมายจับจำเลยที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นไม่ได้ออกหมายแจ้งวันนัดให้โจทก์มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในวันที่ 2 มิถุนายน 2558 และไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้โจทก์ฟัง ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 โดยไม่เชื่อว่าจำเลยไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ กรณีจึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจงใจไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลชั้นต้นต้องออกหมายจับจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แม้ศาลชั้นต้นเคยออกหมายจับจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 ก็ตาม แต่การออกหมายจับดังกล่าวเป็นการออกหมายจับจำเลยเพื่อบังคับตามคำพิพากษาเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้โจทก์ฟังและไม่ได้ออกหมายจับจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แม้ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ทนายจำเลยฟังก็ตาม แต่ทนายจำเลยไม่ใช่คู่ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (3) และ (15) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10115/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์ หากไม่ครบถ้วน ศาลไม่รับอุทธรณ์
บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ไม่คำนึงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาในคำฟ้องและคำให้การหรือไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งโดยขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นว่าให้พิจารณาคดีใหม่และเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แม้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้อง แต่ในส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองวางเงินเฉพาะค่าทนายความ ไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์เอกสารกับค่าคำร้องที่โจทก์เสียไปในระหว่างพิจารณา อันเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองต้องวางเงินให้ครบถ้วน โดยศาลชั้นต้นไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขก่อนจะตรวจรับอุทธรณ์ เพราะไม่ใช่กรณีไม่ชำระหรือชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบมาตรา 232 เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ให้ครบถ้วน แม้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้ ก็ไม่ทำให้กลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10115/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมครบถ้วนตามคำสั่งศาลชั้นต้น มิฉะนั้นเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
ป.วิ.พ. มาตรา 229 วางหลักในการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย โดยไม่ได้คำนึงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาในคำฟ้องและคำให้การหรือไม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่และยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งโดยขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นว่าให้พิจารณาคดีใหม่และให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าขึ้นศาลหรือค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสองจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองวางเฉพาะค่าทนายความ 3,000 บาท แต่ยังมิได้วางค่าที่โจทก์ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์จำนวน 10,000 บาท และค่าคำร้องต่าง ๆ ที่โจทก์เสียไปในระหว่างพิจารณา การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนอีกฝ่ายตามคำสั่งศาลชั้นต้นถือว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองต้องวางให้ครบ หากไม่ครบศาลชั้นต้นไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขก่อนจะตรวจรับอุทธรณ์ เพราะไม่ใช่กรณีไม่ชำระหรือชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบมาตรา 232 เมื่อกฎหมายและคำสั่งของศาลชั้นต้นระบุหน้าที่ของจำเลยทั้งสองไว้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม แม้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมา ก็ไม่ทำให้กลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบไปได้