พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3830/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และการคำนวณทุนทรัพย์คดี: การพิจารณาแยกส่วนการครอบครองที่ดินของจำเลยแต่ละคน
ตามฟ้องและแผนที่พิพาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันละเมิดในที่ดินของโจทก์ ปรากฏแต่เพียงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของโจทก์คนละส่วนต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคนละคดีได้ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งแปดเข้ามาเป็นคดีเดียวกันก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีมีทุนทรัพย์เท่าใดนั้นย่อมจะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปยึดถือครอบครอง มิใช่นับรวมกัน เมื่อที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 ยึดถือครอบครองปรากฎว่ามีเนื้อที่ไม่ถึงคนละ 50 ไร่ คำนวณเป็นราคาไม่เกินคนละสองแสนบาท คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 แต่ละคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินคนละสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคแรก แห่ง ป.วิ.พ.
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ม. โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของ ม. เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น แม้จะเป็นข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ม. โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของ ม. เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น แม้จะเป็นข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์เกินสองแสนบาท ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามส่งมอบบ้านและที่ดินให้แก่โจทก์ และชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท หากส่งมอบไม่ได้ให้ชำระราคา120,000 บาท นั้น เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมและเรียกร้องทรัพย์สินมาเป็นของโจทก์ หรือให้ชดใช้ราคาแก่โจทก์ ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้อง-ทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดที่ดินพิพาท: สิทธิของทายาทและการโต้แย้งความสุจริตของผู้ซื้อ
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด และเรียกที่ดินพิพาทคืน หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน 226,400 บาท ดังนี้ เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนคดีของโจทก์ทั้งสองเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์ที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเหลือเพียงราคาที่ดินของโจทก์ที่ 1 เรียกคืนจำนวน 133,200 บาท ไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์ที่ 1 ยื่นฎีกา
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น โดยเชื่อว่าศาลชั้นต้นขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่าน.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของ ป. ในฐานะผู้จัดการมรดก ส่วนของ น.จึงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วย การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมหมายความเฉพาะส่วนของ น. ไม่รวมส่วนที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตนั้นล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น โดยเชื่อว่าศาลชั้นต้นขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่าน.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของ ป. ในฐานะผู้จัดการมรดก ส่วนของ น.จึงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วย การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมหมายความเฉพาะส่วนของ น. ไม่รวมส่วนที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตนั้นล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพาทรถหาย: ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยขับรถของโจทก์ไปราชการแล้วสูญหายไปทั้งจำเลยและรถ โดยโจทก์ไม่มีพยานยืนยันให้รับฟังได้ว่ารถของโจทก์สูญหายไปเพราะการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลย โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเอารถของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวมิใช่เป็นการใช้ในราชการหรือได้รับอนุญาตให้เอาไปใช้โดยจำเลยไม่มีเหตุจะอ้างได้ เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีมีทุนทรัพย์เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จะไม่ปรากฏราคาที่ดินพิพาท แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา โจทก์ซื้อมาในราคา 61,093.75 บาทแต่ที่ดินพิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ซื้อมา มีเนื้อที่เพียง 75 ตารางวาย่อมมีราคาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ที่ดินราคาต่ำกว่าเกณฑ์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีข้อพิพาทด้วยเรื่องสิทธิครอบครองเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทราคาเพียง 8,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างตัดสินแล้ว และมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท
ศาลล่างทั้งสองต่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยทั้งสองมิได้ซื้อที่พิพาทหากแต่เช่าที่พิพาทจึงมิได้เป็นเจ้าของ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานการเช่ามาแสดง การที่ศาลฟังว่า จำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาทจึงขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 93 และ 94นั้น จึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังยุติต้องกันแล้วว่า จำเลยทั้งสองเช่าที่พิพาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก