คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 192 วรรคแรก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 57 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ vs. พยายามลักทรัพย์: การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาไม่ถือเป็นข้อแตกต่างสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามลักรถจักรยานยนต์แต่ในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยลักชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์คันเดียวกับที่โจทก์ฟ้องมิใช่เป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดจึงไม่ได้หลงต่อสู้ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากพยายามลักทรัพย์เป็นลักทรัพย์ชิ้นส่วน: ศาลมีอำนาจพิจารณาลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามลักรถจักรยานยนต์แต่ในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยลักชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์คันเดียวกับที่โจทก์ฟ้องมิใช่เป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดจึงไม่ได้หลงต่อสู้ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอริบของกลางต้องมีคำขอในฟ้อง ศาลจึงจะริบได้
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับของกลางไว้ แต่มิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบของกลาง ศาลย่อมริบของกลางนั้นไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2469/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและการลงโทษปรับรายวันที่ไม่ชอบด้วยฟ้อง รวมถึงการใช้กฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
คำว่าดัดแปลงตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯมีความหมายรวมถึงการต่อเติมหรือขยายเนื้อที่ของอาคารที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วด้วยฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยดัดแปลงอาคารตึกแถวโดยการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเพิ่มขยายออกไปจึงพอทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการดัดแปลงโดยต่อเติมอาคารหลังเดิมหาใช่เป็นการฟ้องว่าจำเลยก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาไม่ทั้งจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5) ศาลจะลงโทษปรับผู้ฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯมาตรา65วรรคสองเป็นรายวันได้ต่อเมื่อมีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวตามมาตรา42แล้วแต่เจ้าของอาคารไม่ปฏิบัติตามเมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารซึ่งมีการดัดแปลงทั้งมิได้อ้างมาตรา42มาในคำขอท้ายฟ้องการที่ศาลลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันจึงเป็นการลงโทษนอกเหนือไปจากคำฟ้องไม่ชอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา192วรรคแรกและเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร(ฉบับที่2)พ.ศ.2535ออกใช้บังคับโดยยกเลิกความในมาตรา65วรรคแรกและมาตรา70เดิมและให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายที่ใช้ในภายหลังต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืน พรากเด็ก และพาอาวุธ ศาลยืนตามอุทธรณ์ แม้ฟ้องไม่ระบุผู้ดูแล แต่พิจารณาได้ความจริง
การพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317นั้นไม่ว่าจำเลยจะพรากไปจากใครคนใดคนหนึ่งดังกล่าวก็มีความผิดทั้งสิ้นแม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองโดยมิได้บรรยายว่าพรากไปจากผู้ดูแลด้วยแต่ทางพิจารณาได้ความว่าพรากไปจากผู้ดูแลก็มีความผิดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง แม้มีดคัตเตอร์จะไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ทุกครั้งที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยเอามีดคัตเตอร์ที่จำเลยพาไปออกมาขู่เข็ญผู้เสียหายแสดงว่าจำเลยพามีดคัตเตอร์ไปโดยเจตนาจะใช้เป็นอาวุธจึงมีความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2885/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดอำนาจศาลอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญา และการลงโทษที่ไม่ตรงกับฟ้อง
ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 100 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ และถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาโดยชอบแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุอ้างมาตรา 376 ไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์มิได้กล่าวบรรยายมาในฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดมาตราดังกล่าวดังนั้น ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 มาด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและทำให้เสียความสามารถในการขัดขืน การกระทำผิดเวลากลางคืน
จำเลยลอบใส่ยานอนหลับผสมลงในสุราให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มจนหลับหมดสติเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของ ส. ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไปถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ โจทก์มิได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดมาในฟ้อง จึงลงโทษจำเลยในข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาททางขับรถ: ข้อเท็จจริงในฟ้องต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่รับฟังได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ประมาทแซงรถยนต์ของผู้อื่นด้วยความเร็วสูงเข้าไปในช่องเดินรถด้านขวา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่ ร.ขับสวนทางมาทำให้ร. ได้รับอันตรายแก่กายและโจทก์ร่วมซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุเฉี่ยวชนกัน จำเลยมิได้ขับรถยนต์แซงรถยนต์คันอื่น แต่จำเลยคาดผิดคิดว่า ร. ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้าน จำเลยจึงขับรถเบนออกทางขวาเพื่อให้รถจักรยานยนต์ของ ร. เลี้ยวพ้นไปได้โดยจำเลยไม่ต้องหยุดรถแต่ ร.ไม่ได้เลี้ยวรถดังที่จำเลยคาด จำเลยเหยียบเบรก แต่ไม่พ้นเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็ว เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่คาดผิดและขับรถด้วยความเร็ว ดังนี้แม้ทางพิจารณาที่ศาลชั้นต้นฟังมาจะไม่ได้ความว่าจำเลยขับรถแซงรถยนต์คันอื่น แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นนำมารับฟังว่าเป็นความประมาทของจำเลยประการหนึ่งคือการที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องด้วย จึงมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องเสียทั้งหมด อันเป็นเหตุที่จะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4416/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมาทขับรถทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสและการหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่า การที่จำเลยไม่อยู่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีโดยจำเลยได้หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 78 นั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสองได้ และปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคำฟ้อง: ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความหากไม่เป็นสาระสำคัญและจำเลยไม่หลงต่อสู้
โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหายบริเวณศีรษะ ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง พอถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้ว แม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีประทุษร้ายของจำเลย เมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสได้
of 6